อัตตโนประวัติ 08

พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
[หน้า 08 จาก 09]

๓๓. พรรษา ๕๔ ไปแสดงธรรมต่างประเทศ (พ.ศ.๒๕๑๙ – ๒๕๒๐)

การไปต่างประเทศของเราครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนและความอุปการะจากหลายฝ่าย โดยมีความมุ่งหมายจุดเดียวกันคือ เพื่อการอบรมศีลธรรมในต่างประเทศ นอกจากนั้นเราเองยังต้องการที่จะไปเยี่ยมและให้กำลังใจแก่เพื่อนๆ ทั้งพระไทยและพระต่างประเทศ ที่ได้ไปอบรมเผยแพร่พุทธศาสนาในประเทศเหล่านั้นอีกด้วย

มันเป็นสิ่งที่น่าขบขันอยู่อย่างหนึ่งก็คือ รู้สึกตัวว่าแก่จวนจะตายอยู่แล้ว ยังอุตส่าห์ไปเมืองนอกกับเขา มิหนำซ้ำภาษาของเขาก็ยังไม่รู้เสียอีกด้วย ว่าที่จริงแล้ว การเดินทางไปต่างประเทศครั้งนี้ยังไม่ถูกต้องตามอุดมคติของเราในเรื่องของการเดินทางสามประการคือ

  1. ๑. การไปในภูมิภาคหรือถิ่นฐานใดๆ ก็ตาม ต้องรู้ภาษาคำพูดของเขา
  2. ๒. ต้องรู้จักเข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีของเขา
  3. ๓. ต้องรู้จักการอาชีพในภูมิภาค และถิ่นฐานนั้นๆ ของเขา

ทั้งนี้ เพื่อเราจะได้สมาคมกับเขาและพูดเรื่องราวของเขาได้ถูกต้อง แต่นี่เมื่อเราไม่รู้ภาษาของเขาเสียอย่างเดียวแล้ว สองข้อข้างท้ายก็เลยเกือบไม่ต้องพูดถึง อย่างไรก็ดี เราก็ได้รับความอนุเคราะห์จากท่านผู้รู้มากหลาย ช่วยเป็นสื่อภาษา ให้ความรู้ความเข้าใจแก่เราเป็นอย่างดี ทำให้อุปสรรคด้านภาษาแทบจะหมดความหมายไร้ค่าไปทีเดียว

เรารู้ตัวดีว่า เราอายุมากแล้ว ล่วงเข้าวัยชรามากแล้วไม่อยากไปไหนมาไหน ไปมาก็มากแล้ว หาที่ตายได้ขนาดวัดหินหมากเป้งนี้ก็ดีโขแล้ว อยู่ๆ แม่ชีชวน (คนสิงคโปร์มีศรัทธาในพุทธศาสนาและได้มาบวชเป็นชี และมาจำพรรษาอยู่วัดหินหมากเป้ง) มานิมนต์ให้เราไปสิงคโปร์ – ออสเตรเลีย – อินโดนีเซีย เพราะเธอเห็นว่าเราแก่แล้วอยู่วัดไม่มีเวลาพักผ่อน บางทีรับแขกตลอดวัน โดยมากมาเรื่องขอบัตรขอเบอร์กันทั้งนั้น ไปทางโน้นคงมีเวลาพักผ่อนบ้าง

เราได้มาพิจารณาดูแล้วเห็นว่า การไปต่างประเทศเมื่อไม่รู้ภาษาของเขา ย่อมเป็นการลำบาก และเมื่อเขาเห็นเป็นคนแปลกหน้าเขาก็จะยิ่งแห่กันมาดู มันจะได้พักผ่อนอย่างไร ยิ่งกว่านั้นเรานั้นเป็นพระสาธารณะ แก่แล้วจะไปมา ณ ที่ใด ต้องพิจารณาให้รอบคอบ บางทีไปเกิดอันตราย เจ็บป่วยหรือตายลง อาจเป็นเหตุทำความเดือดร้อนให้แก่คนอื่น โดยเฉพาะพระผู้นิมนต์ไปนั้นเอง เขาจะหาว่านิมนต์ไปแล้วไม่ได้ช่วยรักษา

ถึงกระนั้นแล้วก็ตาม เธอก็ไม่สิ้นความพยายามจะนิมนต์ไปให้ได้ กอปรทั้งพี่ชายของเธอ ซึ่งเป็นหัวหน้ากองชุมชนชาวพุทธที่เมืองเพิร์ธในออสเตรเลีย ก็ได้จดหมายมานิมนต์ให้ไปโปรดชาวพุทธที่โน่นด้วย เราได้พิจารณาแล้ว มีเหตุผลที่ควรแก่การรับนิมนต์ ๓ ประการว่า การไปครั้งนี้มีเหตุผลคุ้มค่าแน่

ประการแรก
ประเทศอินโดนีเซียมีพลเมือง ๑๓๐ กว่าล้าน ยังนับถือพุทธศาสนาอยู่ ๑๐ กว่าล้าน ในท่ามกลางศาสนาอื่น คือ ฮินดู-อิสลาม-คริสต์ โดยมิได้มีพระภิกษุสงฆ์เป็นผู้นำเลย เราได้ฟังจากคนอื่นมาเล่าเรื่องนี้ให้ฟังแล้ว ทำให้เกิดความสงสารชาวอินโดนีเซียมาก แล้วยังได้ทราบว่า เขาเหล่านั้นชอบในการทำภาวนานั่งสมาธิอีกด้วย (ทุกๆ ศาสนาที่เขาถือพระเจ้า เขาจะต้องนั่งสมาธิรวมใจให้สงบ ยึดเอาพระเจ้าของเขาเป็นอารมณ์) เรายิ่งชอบใจใหญ่

ประการที่สอง
พระที่มาบวชที่วัดบวรนิเวศวิหารกับสมเด็จพระญาณสังวร (ปจจุบัน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก) ที่มาทางสายอินโดนีเซีย – ออสเตรเลีย ก็มีจำนวนมาก ก่อนเข้าพรรษาปีนี้พระดอน (Donald Riches) ซึ่งเป็นชาวอังกฤษ ก็ได้นำเอาเทปอัดธรรมเทศนาและรูปของเรา ไปเผยแพร่ทางออสเตรียก่อนแล้ว เมื่อเขาได้ทราบว่า เราพร้อมด้วยคณะจะเดินทางไปออสเตรเลีย ก็พากันเตรียมรับรอง บางคนดีใจถึงกับนอนไม่หลับ ที่ออสเตรเลียนี้ มีพระไทยรูปหนึ่งชื่อบุญฤทธิ์ เธอบวชมานาน ได้ออกไปเผยแพร่พุทธศาสนาอยู่ก่อนแล้ว ท่านรูปนี้ได้ทำประโยชน์แก่การเผยแพร่พุทธศาสนาในออสเตรเลียมาก มีหลายรูปที่ได้ไปอบรมกับท่านแล้วเข้ามาบวชในเมืองไทย

ประการที่สาม
เรานึกอยู่เสมอว่า ต่อไปพุทธศาสนาจะเผยแพร่ไปในนานาชาติมากขึ้น และอาจเผยแพร่แบบบาทหลวงของคริสต์ศาสนา ถ้าเป็นพระไทยออกเผยแพร่แล้ว มักจะเอาเปลือกของพุทธศาสนาออกเผยแพร่ หากเป็นคนชาติของเขาเองเข้ามาบวช และอบรมให้เข้าถึงแก่นของพุทธศาสนาที่แท้จริงแล้ว เขาได้นำเอาแก่นแท้ของพุทธศาสนาไปเผยแพร่เอง นั่นแหละจึงจะได้แก่น เมื่อพรรษาที่แล้ว (พ.ศ.๒๕๑๙) ก็ได้มีพระสุธัมโมชาวอินโดนีเซีย ซึ่งบวชกับสมเด็จพระญาณสังวรที่วัดบวรนิเวศวิหาร มาจำพรรษาที่วัดหินหมากเป้ง เวลานี้เธอยังรอรับคณะของเราอยู่ที่อินโดนีเซียนั้นเอง ซึ่งเป็นพระสำคัญรูปหนึ่งที่จะนำเอาแก่นของพุทธศาสนาออกไปเผยแพร่

เมื่อพิจารณาดูถึงเหตุผลทั้ง ๓ ประการดังกล่าวแล้ว จึงได้ตัดสินใจด้วยตนเองว่า ชีวิตของเราเท่าที่ยังเหลืออยู่ จะขอยอมสละทำประโยชน์เพื่อพระศาสนาเท่าที่สามารถจะทำได้ เมื่อตกลงอย่างนั้นแล้ว ก็มองเห็นคุณค่าชีวิตของตนมากขึ้น อันเป็นเหตุให้เรายอมสละความสุขส่วนตัว เพื่อพระศาสนาอย่างเด็ดเดี่ยว

แท้จริงมีคนกรุงเทพฯ หลายคนหลายหมู่ได้เคยมานิมนต์ให้เราไปอินเดีย เพื่อนมัสการกราบไหว้ปูชนียสถานต่างๆ โดยรับบริการให้ความสะดวกทุกประการ แต่เราก็ยังไม่ยอมรับอยู่นั่นเอง ได้เคยวาดมโนภาพที่จะไปอินเดียดูมาหลายครั้งแล้ว เพื่อให้เกิดฉันทะในการที่จะไปอินเดีย แต่แล้วใจมันก็เฉยๆ

เมื่อมาพิจารณาดูเหตุผลว่า อินเดียเป็นที่อุบัติขึ้นของพระพุทธศาสนา เมื่อเราเกิดไม่ทันพระพุทธเจ้า หรือสมัยที่พระพุทธศาสนายังรุ่งโรจน์อยู่ เมื่อปูชนียสถานยังคงเหลืออยู่ควรจะไปนมัสการเพื่อจะได้เกิดธรรมสังเวช หรือความเลื่อมใส แต่แล้วใจมันก็ตื้อเฉยๆ อยู่เช่นเคย หรือว่าเราอาจได้เกิดมาเป็นพระสงฆ์ในสมัยยุคฮินดูปราบพระและปูชนียวัตถุให้ราบเรียบไป เราอาจเป็นคนหนึ่งในจำนวนพระที่ถูกฮินดูปราบนั้นก็ได้ เราเลยเข็ดฮินดูในอินเดียแต่ครั้งกระโน้นแล้ว เลยไม่อยากไปอีกในชาตินี้กระมัง

ใครมีศรัทธามีโอกาสได้ไปกราบไหว้ปูชนียสถานทั้งสี่ ก็นับเป็นมหากุศลอันยิ่งใหญ่ ดังที่พระองค์ได้ตรัสไว้แก่พระอานนท์ว่า “ปูชนียวัตถุทั้งสี่จะเป็นบ่อบุญแก่สาธุชนเป็นอันมากเมื่อเรานิพพานไปแล้ว ” เราวาสนาน้อย มิได้ไปก็ขออนุโมทนาด้วย แล้วก็ขอเป็นหนี้บุญคุณประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นที่อุบัติขึ้นของพระพุทธศาสนาไว้ในโอกาสนี้ด้วย

ก่อนจะเดินทางไปต่างประเทศครั้งนี้ได้มาพัก ณ ที่พักสงฆ์สวนของ พลอากาศโท โพยม เย็นสุดใจ ที่ดอนเมือง กลางคืนจะมีผู้มาฟังเทศน์อบรมสมาธิมากขึ้นทุกๆ คืน รู้สึกว่าคนกรุงเทพฯ สมัยนี้คงจะมีความรู้สึกตัวดีกว่าสมัยก่อนว่า เรามาเกิดในเมืองเทวดาตามสมัญญาสมมุติต่างหาก แต่ตัวของเราเองยังคงเป็นมนุษย์ดิ้นรนกระเสือกกระสนทำมาหาเลี้ยงชีพแย่งกันเหมือนๆ มนุษย์ทั่วไปนั่นเอง จึงอยากจะสร้างตนเองให้ได้เป็นเทวดาที่แท้จริงก็ได้ เพราะเคยได้ทราบมาว่าเทวดาที่ไปเกิดในสวรรค์นั้นไม่มีโอกาสจะได้ทำบุญเหมือนเมืองมนุษย์เรา เมื่อเสวยผลบุญที่ตนได้กระทำไว้แต่ในเมืองมนุษย์นี้หมดแล้ว ก็กลับมาเกิดในเมืองมนุษย์นี้อีก บางทีไม่แน่นอนอาจไปเกิดในอบายก็ได้ ไม่เหมือนพระเสขะอริยบุคคลมีพระโสดาเป็นต้น ท่านเหล่านั้นตายแล้วไม่ไปเกิดในอบายอีกแน่

เราเป็นพระแก่เกิดในถิ่นด้อยการศึกษา บางทีเขานิมนต์ให้เราไปเทศน์อบรมศีลธรรมแก่ผู้ที่มีการศึกษาดี เบื้องต้นเรามีความรู้สึกเหนียมๆ ตัวเองเหมือนกัน แต่มันเข้ากับหลักพุทธศาสนาที่ไม่ให้ถือชั้นวรรณะ ให้ถือเอาความรู้ดีประพฤติดีเป็นประมาณ เพราะคนรู้ดีทำความชั่ว ย่อมทำความเดือดร้อนให้แก่ประเทศชาติบ้านเมืองยิ่งกว่าคนไม่มีความรู้

คนไม่มีความรู้แต่เขาไม่ทำความชั่ว ดีกว่าคนที่มีความรู้มาก แต่นำความรู้นั้นๆ ไปใช้ในทางที่ชั่ว คนรู้น้อยแต่เขาพยายามสร้างแต่ความดี ย่อมนำความเจริญมาให้แก่ประเทศชาติบ้านเมือง ยิ่งกว่าคนไม่มีความรู้

คนไม่มีความรู้แต่เขาไม่ทำความชั่ว ดีกว่าคนที่มีความรู้มาก แต่นำความรู้นั้นๆ ไปใช้ในทางที่ชั่ว คนรู้น้อยแต่เขาพยายามสร้างแต่ความดี ย่อมนำความเจริญมาให้แก่หมุ่คณะ ตลอดถึงประเทศชาติได้

เมื่อได้มาพิจารณาถึงเหตุผลดังกล่าวแล้ว เราก็สามารถพูดอบรมได้อย่างภาคภูมิใจ เพราะเทศน์อบรมศีลธรรมแก่ผู้ที่มีการศึกษาดีย่อมเข้าใจง่าย ศีลธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น สอนให้รู้จักของธรรมชาติ จึงเข้ากับหลักวิทยาศาสตร์ทันสมัยดีที่สุด นักศึกษาที่ดีทั้งหลายย่อมมุ่งแสวงหาแต่ความรู้ที่เป็นสาระ อันจะนำเอามาประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิตของคนเท่านั้น มิได้มุ่งบุคคลว่าจะอยู่ในฐานะและภูมิเช่นไรก็ตาม อย่างสมัยนี้ครูสอนศิษย์มีความรู้สูงๆ แล้วศิษย์กลับนำเอาความรู้นั้นๆ มาสอนครูอีกก็มี ไม่เหมือนศิษย์ที่เลวๆ บางคนบางกลุ่ม เห็นครูอาจารย์ทำผิดอะไรนิดๆ หน่อยๆ หรือมีความคิดความเห็นไม่ตรงกับของตนแล้ว ถือว่าครูอาจารย์เป็นเรือจ้างรวมหัวกันรุมจิกขับไล่ถือว่าได้หน้ามีเกียรติ อย่างนี้มันเป็นสมัยพัฒนาวิชาอุบาทว์ มีแต่จะนำมาซึ่งความเสื่อมถ่ายเดียว

๓๓.๑ ถึงสิงคโปร์ประเทศแรก

คณะเราอันมีพระสตีเฟน พระชัยชาญ หมอชะวดี และแม่ชีชวน ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ ถึงสิงคโปร์ในวันเดียวกัน คณะศรัทธามารับและพาไปชมเมืองจนทั่ว สิงคโปร์เป็นเกาะเล็กๆ อยู่กลางทะเล มีเนื้อที่เพียง ๓๐ x ๒๕ กม. เท่านั้น มีผู้คนอยู่หนาแน่น มีพลเมืองร่วมทั้งเกาะเล็กเกาะน้อยรอบๆ ๓ ล้านเศษ เพราะเนื้อที่น้อย ฉะนั้นเขาจึงปลูกแฟลตสูงๆ สิบชั้นยี่สิบชั้นขึ้นไป เพื่อมิให้เปลืองเนื้อที่

คนไปเห็นแฟลตสูงๆ แล้วเข้าใจว่าคนสิงคโปร์มีแต่คนรวยๆ กันทั้งนั้น แท้จริงแล้วก็เหมือนๆ กับประเทศอื่นๆ ทั่วไปในโลกนี้แหละ บ้านธรรมดาๆ มุงกระเบื้องสังกะสีแม้แต่มุงจากอย่างบ้านเราก็ยังมีเหมือนกัน

เมื่อมนุษย์เรายังมีกิเลสอยู่ตราบใดแล้ว จะมีทุกสิ่งทุกอย่างเสมอภาคกันเป็นไปไม่ได้ รัฐบาลของทุกประเทศก็พากันพยายามต้องการอยากให้เป็นเช่นนั้น แต่แล้วก็ไม่เห็นเป็นไปตามประสงค์สักประเทศเดียว แม้แต่ประเทศที่ปกครองด้วยระบบคอมมิวนิสต์ ก็โฆษณานักหนาว่า ประชาชนพลเมืองของเขาอุดมสมบูรณ์ไม่เดือดร้อน มีสิทธิเสมอภาคกันทั่วหมด แล้วทำไมพลเมืองเหล่านั้น จึงพากันดิ้นรนเล็ดรอดหนีตายจากเมืองพระศรีอาริย์มาเล่า อันนั้นเพราะอะไร ก็เพราะกิเลสของคนเรามันแก่ตัวเกินไปน่ะซี

เรื่องนี้พระพุทธองค์สอนนักสอนหนาว่าให้เห็นอกเขาอกเรา จงมีเมตตาปรารถนาหวังดีต่อกันและกัน ทุกๆ คนก็ปรารถนาเช่นนั้นเหมือนกัน แต่บทเมื่อมาถึงตัวเองเข้า กิเลสปิดบังห่อหุ้มเลยลืมหมด ลงของเก่า

เราเคยสงสัยว่า เหตุใดสิงคโปร์ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ จึงแยกออกมาจากมาเลเซียเป็นเอกราชต่างหาก ทำไมจึงไม่รวมกันกับมาเลเซียเพื่อจะได้เป็นประเทศใหญ่ๆ ให้เป็นปึกแผ่นแน่นหนา เมื่อไปเห็นความจริงแล้ว การแยกออกจากมาเลเซียไปเป็นเอกราชต่างหากนั้น มันเหมาะสมแล้ว เพราะเรื่องวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมและศาสนา ตลอดจนนิสัยของคนสิงคโปร์อาจแปลกต่างไปจากมาเลเซียก็ได้

อนึ่ง สิงคโปร์เป็นเกาะเล็ก มีพลเมืองหนาแน่น อาจมีรายได้ดีกว่ามาเลเซีย แล้วผู้คนก็อาจปกครองง่ายกว่ามาเลเซีย แต่ถึงอย่างไรก็ตาม สิงคโปร์ก็ยังต้องอาศัยวัตถุดิบ เช่น ไม้ เป็นต้น จากมาเลเซียอยู่นั่นเอง น้ำเป็นปัจจัยสำคัญประจำชีวิตของมนุษย์อย่างยิ่ง สิงคโปร์มีพื้นที่น้อย ไม่พอจะทำการกสิกรรมและเกษตรกรรม แม้แต่น้ำบริโภคและน้ำใช้ ก็ต้องอาศัยต่อท่อไปจากมาเลเซียทั้งนั้น ฉะนั้น มาเลเซียกับสิงคโปร์ถึงแม้จะแยกกันไป คนละประเทศแล้วก็ตาม แต่สัมพันธไมตรีด้านอื่นๆ ยังแน่นแฟ้น อยู่ตามเดิม หากจะตัดก็ต้องตัดสายน้ำนี้แหละ จึงจะขาด

ด้านการจราจรนั้น ถนนหนทางเขากว้างและมีมากพอแก่รถราจะวิ่ง ไม่คับคั่งทั้งคนขับก็ช่วยกันรักษาการจราจร ไม่เห็นแก่ตัวตามสี่แยกต่างๆ จะหาตำรวจจราจรมาทำยาสักนายเดียวก็ไม่มี มีแต่ไฟแดง – ไฟเขียวทำหน้าที่โดยอัตโนมัติอย่างน่าสงสาร ถนนหนทางเขารักษาความสะอาดได้ดี ไม่ค่อยจะมีคนเดินพลุกพล่าน ตามหน้าร้านมีบานกระจกปิดกันฝุ่นเรียบร้อย นอกจากแฟลตที่สูงๆ แล้ว บ้านช่องเขาปลูกมีระเบียบเรียบร้อยน่าดู ริมถนน และระหว่างบ้านต่อบ้านเขาปลูกต้นไม้ร่มเย็นน่าชมน่าเที่ยว

ที่ใดบ้านห่างๆ ไม่ว่าตามในเมืองหรือชานเมืองก็ตาม เขาทำเป็นสวนสาธารณะเล็กบ้างใหญ่บ้าง แล้วทำที่พักนั่งเล่นตามโคนต้นไม้ไว้ให้คนไปนั่งพักผ่อนสบาย ตามชายทะเลที่ไม่มีต้นไม้ เขาก็ปลูกต้นไม้ลงแล้วทำลานจอดรถไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยแทบทุกแห่ง ไม่ว่าบ้านริมถนนหรือกำแพงบ้าน ตลอดจนสวนสาธารณะ เขาชอบปลูกดอกไม้พรรณต่างๆ สวยงามมาก ดินของเขาก็ดี อากาศและฝนก็อำนวยตกบ่อย จึงทำให้ดอกไม้ของเขาเขียวชอุ่มอยู่ตลอดกาล

สิงคโปร์เป็นเกาะเล็กพลเมืองหนาแน่น อย่าพึงเข้าใจว่าจะไม่มีป่าเลย แม้แต่ในเมืองก็ยังมีป่าดงดิบอยู่ ทั้งนี้เพราะเขามีป่าน้อย เขาจึงรักป่าและพันธุ์ไม้แล้วสงวนไว้ดังกล่าวแล้ว สิงคโปร์เป็นเกาะอยู่บนกลางทะเลสูงกว่าระดับน้ำ ฉะนั้นถึงน้ำจะดี ฝนตกเสมอ แต่น้ำก็ไม่ขังชื้นแฉะจึงทำความสะอาดได้ง่ายกว่ากรุงเทพฯ ของเรา ประจวบกับพลเมืองก็เอาใจใส่ช่วยกันรักษากฎหมายบ้านเมืองเป็นอย่างดี ถึงอย่างไรก็ดี อย่าได้ลืมตัว เพราะคนเราเกิดมาก็เกิดที่สกปรก แล้วก็คลุกคลีอยู่ด้วยของสกปรกทั้งภายนอกและภายในตลอดกาล ชำระสะสางอาบล้างแล้วเดี๋ยวก็สกปรกอีก ผลที่สุดเมื่อตายแล้วก็เปื่อยเน่าสกปรกอีก

เมื่อมันเป็นอยู่เช่นนั้นแล้ว คนเราไปอยู่ที่ไหนมันจะสะอาดได้อย่างไรเล่า นอกจากทุกๆ คนที่อยู่ร่วมกันเข้าใจความจริงนั้นแล้ว แต่ก็ช่วยกันรักษาความสะอาดตามหน้าที่ของตนๆ รักษาความสะอาดภายในตัวของเราอย่างไร ก็ให้รักษาความสะอาดภายนอกเช่นนั้นก็แล้วกัน บ้านเมืองใดก็ตามที่จะเจริญสมบูรณ์ต้องพร้อมด้วยเหตุ ๔ ประการดังนี้ คือ

  1. ๑. ภูมิประเทศที่เป็นชัยภูมิเหมาะสมแก่ผู้คนที่ไปอยู่อาศัย
  2. ๒. หัวหน้าผู้บริหารวางระเบียบกฎหมายเป็นยุติธรรม ไม่ทำความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนผู้อยู่อาศัย และหย่อนยานเกินไป
  3. ๓. พลเมืองช่วยกันรักษาระเบียบกฎหมาย เคารพต่อกฎหมายบ้านเมือง
  4. ๔. ผู้บริหารตั้งอยู่ในยุติธรรม

ถ้าพร้อมด้วยเหตุ ๔ ประการนี้แล้ว บ้านเมืองนั้นก็จะอุดมสมบูรณ์ ถ้าขาดอันใดข้อหนึ่ง ถึงแม้จะอุดมสมบูรณ์แต่ก็จะไม่สมบูรณ์

กรุงเทพฯ เราจะทำให้สะอาดสมบูรณ์เหมือนสิงคโปร์ไม่ได้เด็ดขาด เพราะสถานที่ไม่อำนวย อยู่ที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ใครก็ตามเถิดอย่ามาคุยโอ่เลยว่า จะทำกรุงเทพฯให้สะอาดอย่างนั้นอย่างนี้ พอเป็นขี้ปากหนังสือพิมพ์เปล่าๆ ทางที่ดีควรมาช่วยกันรักษาความสะอาดตามหน้าที่ของตนๆ ขออย่าได้พากันมักง่ายเห็นแก่ตัวจะดีกว่า เห็นอะไรผิดนิดก็ด่า หน่อยก็โจมตีกันอย่างสาดเสียไร้มารยาท ขาดวัฒนธรรมอันดีงามเหมือนคนไม่มีการศึกษา

ช่วงระยะที่คณะของเราได้อยู่ที่สิงคโปร์นี้เป็นเวลาสิบคืน เราได้อบรมศีลธรรมฝึกกรรมฐานให้ชาวสิงคโปร์ทุกๆ คืนๆ ละไม่เกิน ๓ ชั่วโมง มีคนมารับการอบรมคืนละ ๒๐ – ๓๐ คน แท้จริงการอบรมศีลธรรมก็คือ การชี้ให้เห็นโทษของโลกตามเป็นจริงนั้นเอง ผู้ใดเห็นโทษของโลกนั้นได้ ก็ได้ชื่อว่ามองเห็นธรรมแล้ว เพราะโลกกับธรรมอาศัยซึ่งกันและกันอยู่ ฉะนั้นเมื่อเราแสดงถึงธรรม ปัญหาของโลกจึงพากันหลั่งไหลเข้ามารอบด้าน ปัญหาทั้งหมดก็เหมือนๆ กับที่มีอยู่ในโลกทั่วๆ ไปนั้นเอง เมื่อสรุปแล้วก็คงอยู่ในวงขอบเขต ๓ ประการ ดังนี้คือ

  1. ๑. ปัญหาในครอบครัวและการครองชีพ
  2. ๒. ปัญหาที่พึ่งทางใจ
  3. ๓. ปัญหาเรื่องต้องการเปลื้องทุกข์ให้หลุดพ้น

ข้อแรก ก็ไม่เห็นแปลกแตกต่างอะไร เมื่อมีโลกก็ต้องมีปัญหาโลกแตกเป็นธรรมดา เมื่อเราผูกเองก็ต้องแก้เป็นละซีคนอื่นใครจะแก้ให้ได้ นอกจากจะบอกวิธีแก้ให้เท่านั้นเอง ปลาติดเบ็ดนายพรานเพราะเหยื่อของนายพรานหุ้มพรางไว้ ปลาเห็นเข้าโฉบเอาด้วยความหิว เมื่อเบ็ดเกี่ยวปากเหยื่อก็ไม่ได้กินยังเหลือแต่ความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างเดียว ความหิวทำให้เกิดทุกข์อย่างนี้ เราให้ความเห็นว่าจงอดเอาเถิด เมื่อเราหลงเหยื่อจนเบ็ดเกี่ยวปากแล้ว ยิ่งดิ้นก็จะมีแต่ความเจ็บปวดทวีคูณ ปลงอนิจจังสังเวชตนเองว่าเป็นทุกข์เช่นนี้ ก็เพราะความหลงผิดแท้ๆ นิ่งๆ เอาไว้ให้นายพรานมาปลดเอาไปต้มยำเป็นอาหารเย็นก็จะเป็นโชคดีของแก

ข้อสอง คนเราเมื่อยังมีหวังอยู่ก็จะต้องดิ้นรนไปจนสุดเหวี่ยงจนหาที่หยุดสุดสิ้นไม่ได้ ตามใจที่ยังไม่ได้อบรม เหมือนกับสัตว์ป่าที่จับมาใหม่ๆ จะฮึกเท่าไรดิ้นเท่าไรเมื่อ เชือกยังเหนียวไม่ขาด สัตว์ป่าก็จะเหนื่อย รู้กำลังตนเองแล้วนิ่งยอมจำนน คนเราก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อไม่สมหวังในสิ่งนั้นๆ ที่เข้าใจว่าจะนำความสุขมาให้ แล้วใจก็จะสงบสุข นั่นแหละจึงจะเห็นที่พึ่งของใจว่า ที่เราแสวงหาความสุขในที่นั่นๆ ด้วยวัตถุภายนอกนั้น ที่แท้จริงไม่ใช่แสวงหาความสุขอันแท้จริง เป็นแต่สุขปลอมๆ เปลือกๆ สุขที่แท้จริงได้แก่สุขที่จิตนิ่งไม่ดิ้นรนต่างหาก ผู้มาจับจุดความสุขที่แท้จริงได้อย่างนี้แล้ว แม้ผู้นั้นจะอยู่ในอิริยาบถใด ประกอบภารกิจงานใดๆ อยู่ก็ตาม เขาจะมีใจเป็นสุขอยู่ตลอดกาลทุกเมื่อ แต่เมื่อผู้ที่ยังไม่ถึงและไม่เห็นเช่นนั้นแล้ว ก็เหมือนเป่าปี่ให้ควายฟัง

ข้อสาม เราได้สอนให้เขาทวนทบย้อนไปพิจารณาถึงข้อ ๑ – ๒ จนให้เห็นว่านอกจากความสุขอันเกิดจากความสงบแล้ว นอกนี้เป็นความสุขเพียงเพื่ออาศัยและสุขปลอมๆ เท่านั้น แล้วสอนให้เขาเหล่านั้นหมั่นบำเพ็ญเจริญ พิจารณาอยู่อย่างนั้นตลอดไปจนชำนาญ เมื่อชำนาญแล้วจะอยู่ด้วยอาการอย่างไร ก็อยู่ได้ตามใจปรารถนา เมื่อทำได้อย่างนี้แล้วใครจะอยู่ด้วยความสุขก็อยู่ไป ใครจะอยู่ด้วยความทุกข์อย่างไรก็อยู่ไปโดยอิสระเสรี

เท่าที่ได้อบรมมาแล้วและได้ฟังความคิดความเห็นของชาวสิงคโปร์ นับว่าพวกเขามีโชคดีที่มีความคิดความเห็นเป็นธรรม เห็นโทษทุกข์ในความมาเกิดในโลกนี้ เห็นว่าชีวิตของคนเราไม่มีสาระ เป็นเพียงมายาเท่านั้น อนึ่งเราเองก็ไม่ได้นึกได้ฝันเลยว่า คนสิงคโปร์จะมีความรู้ความเข้าใจหลักธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้าถึงอย่างนี้ เมื่อก่อนคนชาวสิงคโปร์โดยมาก ถือฮินดูบ้าง คริสต์บ้าง และลัทธิมหายานบ้าง แต่เมื่อพากันมาได้อบรมศึกษาในหลักคำสอนของพุทธศาสนาที่ถูกต้องแล้ว ความเชื่อถือในลัทธิและศาสนาเหล่านั้นไม่ทราบจมหายไปไหน คงยังเหลือแต่แก่นแท้ของสัจธรรม เป็นที่น่าชื่นชมที่เขาได้พากันแสดงออกมา ซึ่งความเชื่อมั่นความกล้าหาญความร่าเริงในการที่เขาได้เข้าใจ ในสัจธรรมที่เป็นสาระอย่างจริงจัง เป็นที่น่าอัศจรรย์ที่บางคนมีศีลห้าโดยอัตโนมัติ หัดภาวนาทำสมาธิแน่วแน่ จนทำให้เกิดญาณรู้เรื่องราวต่างๆ ทั้งเรื่องของตนและของคนอื่นอีกด้วย

๓๓.๒ ไปออสเตรเลีย

จากสิงคโปร์ เราได้บินไปออสเตรเลียในวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน และลงพักที่เพิร์ธเป็นเมืองด่านแรก แล้วก็ไปเมลเบอร์น ซิดนีย์ แคนเบอร์ร่า ตามเมืองใหญ่ๆ ที่มีผู้สนใจพุทธศาสนา หรือพุทธสมาคมนิมนต์ให้ไปอบรมศีลธรรมทุกแห่ง ไม่ว่าไทย ลาว พม่า ศรีลังกา ฝรั่งมังค่า ต่างให้การต้อนรับ นับว่าดีเลิศ คณะเราขอขอบพระคุณท่านเหล่านั้นไว้ ณ โอกาสนี้ เป็นอย่างยิ่ง

คำสนทนากับหัวหน้าฮินดู ระหว่างอยู่เพิร์ธมีสวามีมาเยี่ยม สวามีหมายถึงนักบวชลัทธิฮินดู นุ่งห่มและสีผ้าคล้ายๆ กับพระธิเบต ตัวท่านเองก็บอกว่าท่านเป็นฮินดูลามะ ฮินดูมีหลายลัทธิ ถือพระเจ้าหลายพระองค์เหลือเกิน จะถือพระเจ้ากี่องค์ๆ ก็ไม่ว่า ขอให้ถือว่าพระเจ้าเหล่านั้นล้วนแยกออกมาจากพระเจ้าองค์เดียวกันก็ใช้ได้ (คือพระผู้เป็นเจ้าผู้สร้างโลก ผู้ไม่มีตัว)

ท่านองค์นี้บวชมาได้ ๔๕ ปีแล้ว อายุก็ได้ ๗๖ ปีพอดี ท่านมานั่งรอเราอยู่ที่ห้องรับแขกก่อนแล้ว พอเห็นเราก็ยกมือไหว้เราก่อนด้วยความยินดี มีศีลธรรมอย่างน่ารักมาก เราได้ยกมือไหว้ตอบ สนทนาสัมโมทนียกถา พอเป็นเครื่องทำให้เกิดความอิ่มใจ ในกันและกัน พอสมควรแล้ว เราเริ่มถามถึงลัทธิของท่านที่ท่านประพฤติอยู่ ว่าท่านดำเนินไปในแนวไหน และหนักไปในทางใดด้วยความเป็นกันเอง

ท่านได้บอกว่า ท่านเป็นสวามีลามะ หัวหน้าสอนศาสนาลัทธิฮินดู ตระกูลของท่านถือฮินดู และตัวท่านเองก็เคร่งในลัทธิฮินดู ได้บวชแต่ยังหนุ่ม จนบัดนี้แล้วก็เคยเข้าไปหาพระในธิเบตลัทธิมหายาน

ยังสวามีอีกคนหนึ่ง แต่คนนี้เขาไม่บวชเหมือนคนก่อน เป็นฆารวาสเหมือนคนธรรมดาๆ เรานี้เอง อายุ ๘๑ ปีแล้ว แต่รูปร่างหน้าตาน่ารักมาก ผิวพรรณผุดผ่องยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา ดูท่าทีแล้วเหมือนคนอายุราว ๖๑ ปีเท่านั้นเอง เขาได้มานั่งรอเราอยู่ที่ห้องรับแขกก่อนแล้ว พอเราออกจากห้องมาเขาเห็นเราเข้า แล้วก็ยกมือไหว้เราก่อนเหมือนสวามีคนก่อน เขาบอกว่าพอเห็นเราแล้วเมตตามาก (ตามภาษาบ้านเราคือเคารพรักมากนั่นเอง) เมื่อทักทาย และแสดงความดีใจซึ่งกันและกัน พอสมควรแล้ว เราได้เริ่มซักถามถึงลัทธิที่เขาถือก่อนเช่นเดียวกับสวามีคนก่อน ก่อนจะถามเราได้ขอโทษเขา แต่เขาได้บอกว่าไม่ต้องขอโทษ เรามีธรรมเสมอกัน (คอยฟังมติของเขาต่อไป)

เขาบอกว่าเขาไม่ถือศาสนาอะไรๆ ทั้งหมด “เพราะในโลกนี้มีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น” ศาสดาของแต่ศาสนาล้วนแล้วแต่แยกออกมาจากพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน (คือพระพรหม) เมื่อทำดีที่ถูกต้องแล้วก็เข้าถึงพระเจ้าองค์เดิมเหมือนกัน เขาบอกว่า เขาได้ไปศึกษาแบบโยคะกับอาจารย์ต่างๆ ในประเทศอินเดียถึง ๖ อาจารย์ อาจารย์ของเขาสอนหลายแบบ เป็นต้นว่า แบบฤาษีดัดกาย แบบอดอาหารและกลั้นลมหายใจเข้าออก เป็นต้น (แสดงว่าลัทธิเหล่านี้มีมาแต่ก่อนพุทธกาล คงยังเหลืออยู่จนบัดนี้) เขาเป็นผู้มีความรู้และความสามารถในลัทธิฮินดู และเป็นผู้ยอมสละทุกๆ อย่าง (ไม่มีครอบครัว) ฮินดูศาสนิกทั้งหลาย จึงได้ยกให้เขาเป็นสวามี

เมื่อเราทั้งสองสนทนากันโดยมีพระสตีเฟนเป็นล่างคนกลางพอสมควร และเราทั้งสองฝ่ายต่างก็พอใจ และยินดีในคำพูดของกันและกันแล้ว ก่อนเขาจะลากลับ เขาขอกราบเท้าเราเพื่อเป็นสิริมงคล (เราเลยกลายเป็นพระผู้เป็นเจ้าไปเลย) เรารู้สึกละอายใจมาก เพราะเขาเป็นคนดีมีอายุมากและมีคุณธรรมน่าเลื่อมใส จึงบอกว่าไม่ต้องกราบดอก เรามีธรรมเสมอกันก็เป็นสิริมงคลดีอยู่แล้ว ก่อนจะลาไปเขาได้หันหน้ามาไหว้แล้วไหว้เล่าๆ แสดงว่าเขาเคารพด้วยความจริงใจ

สวามีทั้งสองนั้นถึงคนหนึ่งบวชเป็นพระอีกคนหนึ่งไม่ได้บวชก็ตาม แต่ลัทธิวิธีเข้าถึงพระเป็นเจ้าอย่างเดียวกัน เพราะเป็นลัทธิฮินดูเหมือนกัน เราได้ขอร้องให้ทั้งสองอธิบายวิธีที่จะเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้า ทั้งสองได้อธิบายเหมือนกัน คือ

องค์แรกบอกว่าบริกรรม โอมะ ช้าๆ สัก ๒ – ๓ ครั้ง โดยระลึกเอาพระเจ้ามาไว้ที่ใจ เอาใจมาระลึกถึงพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็จะมาปรากฏเป็นภาพต่างๆ ขึ้นที่ใจ พระเจ้าจะสอนให้รู้จักผิด รู้จักถูก… ให้ทำดีละชั่ว..บางทีก็ไม่ปรากฏภาพจะมีแต่เสียง (ในหลักปฏิบัติทางพุทธศาสนาตอนนี้เรียกว่า รูปฌาน ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา… ธรรมเป็นศาสดาตามพร่ำสอนผู้ปฏิบัติดีแล้ว ไม่ให้ตกไปในทางผิด) แล้วพระเจ้านั้นจะหายไป ยังเหลือแต่ความว่างเปล่า เราเข้าถึงพระเจ้านิรันดรแล้ว (อรูปฌานซึ่งอาฬารดาบสและอุทกดาบสเจริญอยู่ พระสิทธัตถะกุมารไปศึกษาได้แล้วเห็นว่ายังยึดอยู่นั่นแหละไม่เป็นทางพ้นทุกข์ได้ ละทั้งดีและชั่วแล้วจึงจะพ้นทุกข์ จึงได้หนีไปทำทุกรกิริยา)

ส่วนสวามีคนที่สองไม่ได้บวชก็อธิบายเหมือนกัน แต่เขาไม่ได้พูดถึงคำบริกรรม อาจเป็นเพราะเขาหวงเคล็ดลับในลัทธิของเขาก็ได้ แต่เข้าใจว่าคงบริกรรมเช่นเดียวกันเพราะลัทธิเดียวกัน แล้วก็พูดแต่เพียงว่า เมื่อเข้าถึงพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจะแสดงภาพต่างๆ มาสอนหรือมีแต่เสียงมาสอน ไม่ได้พูดว่าเมื่อภาพและเสียงนั้นหายไปแล้วยังเหลือแต่ความว่าง แล้วเข้าถึงพระเจ้านิรันดร

สิ่งที่ควรจะเป็นสาระ นักสนใจใจศาสนาทั้งหลายฟังแล้วสนุกไหม ได้ความว่าอย่างไร เราขอแสดงความเห็นดังต่อไปนี้ หากผิดถูกอย่างไร ขอนักสนใจในศาสนาทั้งหลายได้ให้อภัยด้วย เพราะเราไม่มีโอกาสได้ค้นคว้าตำราศาสนาอื่นๆ นอกจากพุทธศาสนา

เขาให้ทำความเชื่อมั่นแน่วแน่ว่า พระเจ้าเขามี แต่ไม่เห็นตัว พระเจ้าที่เขาเชื่อนั่นแหละ เมื่อทำความเชื่อมั่นแล้ว น้อมเอาพระเจ้าหรือเอาใจของเราเข้าไปไว้ในพระเจ้าแล้ว พระเจ้าก็จะมาปรากฏให้เห็น ณ ที่นั้น แม้พุทธศาสนาฝ่ายมหายานก็ในทำนองเดียวกันนี้ ส่วนฝ่ายเถรวาทหรือหินยาน พระพุทธเจ้ามีตัวตนคือพระราชโอรส สิทธัตถะแห่งศากยราช เสด็จออกทรงผนวช ทรงบำเพ็ญเพียรชำระกิเลสในใจจนหมดจดบริสุทธิ์ ได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าเพราะคุณธรรมทั้งหลาย แต่ไม่ให้ถือเอาเพียงกายของพระสิทธัตถะเท่านั้นมาเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อผู้มีความเชื่อและเลื่อมใสในพระคุณของพระพุทธเจ้า แล้วน้อมเอาคุณความดีทั้งหลายเหล่านั้นมาไว้ที่ใจ หรือน้อมเอาใจของตนไปตั้งไว้ที่ความดีเหล่านั้นก็ดี เมื่อใจตั้งมั่นอยู่ในความดีเหล่านั้นแน่วแน่เต็มที่แล้ว (เอกัคคตารมณ์) อาจเกิดภาพนิมิตต่างๆ หรือเสียงปรากฏ ณ ที่นั้น

ลัทธิพระเจ้าไม่มีตัวตนนั้น เขาถือว่านั้นถึงพระเจ้าแล้วพระเจ้ามาสอนแล้ว ส่วนพุทธศาสนาถือว่านิมิตของภาวนา หากมีเสียงสอนบอกกล่าวก็ถือว่าพระธรรมเป็นเครื่องพร่ำสอน ถ้ามีภาพปรากฏก็ถือว่าเป็นภาพนิมิต พระธรรมเป็นของไม่มีรูปร่าง ผู้เห็นผู้ฟังยังเป็นของมีรูปร่างอยู่ พระธรรมจึงแสดงภาพให้เข้ากับผู้เห็นผู้ฟัง

เมื่อสรุปแล้วทุกๆศาสนาและลัทธินิกาย สอนให้ศาสนิกชนของตนๆ ละชั่วทำดี น้อมจิตเอาคุณความดีของพระเป็นเจ้าที่ใจของตน หรือเอาจิตของตนให้เข้าไปอยู่ในพระเป็นเจ้า เพื่อเราจะได้เข้าถึงพระผู้เป็นเจ้าเหมือนๆ กันทุกๆ ศาสนา ศาสนิกชนของศาสนานั้นๆ เมื่อไม่เข้าใจในหลักของจริงของศาสนาดังกล่าวมานี้แล้ว มักจะถือว่าอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งนับถือปฏิบัติไม่เหมือนตน ก็เหมาว่าผิด ตนเท่านั้นถูก แล้วก็หาเรื่องโฆษณาโจมตีกันและกัน เพื่อให้ฝ่ายของตนเด่น คนจะได้เข้ามานับถือฝ่ายตนให้มากขึ้น นอกจากมิใช่คำสอนของศาสดาที่ดีมีธรรมเป็นเครื่องอยู่แล้ว ยังจะเป็นที่เพ่งเล็งของปราชญ์ที่ดีทั้งหลายอีกด้วย การถือภาพนิมิตของภาวนากับการเข้าถึงพระเจ้าน่าจะเป็นเครื่องพิสูจน์ของนักปฏิบัติด้วยดี

ให้คติแก่ท่านมหาสมัย

ระหว่างเดินทางอยู่ในออสเตรเลียครั้งนี้ นอกจากจะได้อบรมศีลธรรมแก่ผู้ที่สนใจในหลักพุทธศาสนาแล้ว ยังได้และเปลี่ยนทัศนคติกับหมู่เพื่อนอีกด้วย โดยเฉพาะท่านมหาสมัย ซึ่งทางมหามกุฏราชวิทยาลัยส่งมาอยู่ประจำวัดพุทธรังษี เมืองซิดนีย์ พระมหาสมัยรูปนี้เดิมเป็นคนชาวจำปาศักดิ์ ประเทศลาว ได้มาอยู่วัดสระปทุมแต่เล็ก จนได้บวชเป็นสามเณรแล้วบวชเป็นพระสอบ ป.ธ. ๕ สำเร็จการศึกษามหาวิทยาลัย วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อปี ๒๕๐๒ ไปช่วยสอนสามัญศึกษาที่วัดโพธิสมภรณ์ อุดรธานี อยู่ ๑ ปี แล้วได้อาสามาเผยแพร่พุทธศาสนาในออสเตรเลียนี้ได้ ๒ ปีแล้ว เป็นรุ่นที่ ๒ ต่อจากเจ้าคุณปริยัติ แล้วก็เป็นรูปแรกที่ได้เข้ามาอยู่วัดนี้ เวลานี้ได้ ๑๓ พรรษาแล้ว

ท่านเป็นพระสุภาพเรียบร้อยน่าเคารพเลื่อมใสมาก ท่านได้ชื่อว่าเป็นตัวแทนพระสงฆ์ไทยไปเผยแพร่พุทธศาสนาในทวีปออสเตรเลีย เพราะเมื่อก่อนออสเตรเลียไม่เคยมีพระสงฆ์ฝ่ายเถรวาท เขาถือศาสนาคริสต์เป็นพื้น เพิ่งมีวัดและพระสงฆ์ฝ่ายเถรวาทครั้งนี้เอง คนเราสมัยนี้ทั้งโลกมีการศึกษาดีโดยเฉพาะด้านวิชาวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีหลักค้นคว้าหาเหตุผลข้อเท็จจริง

ส่วนคำสอนของคริสต์ศาสนา สอนให้ใช้ความเชื่อ ห้ามวิพากษ์วิจารณ์คำสอนที่ตนนับถือ มันเลยขัดกับหลักวิชาวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ สันตะปาปาเคยลงโทษใครคนหนึ่ง เมื่อเขาคิดคำนวณว่าโลกกลมมาแล้ว แต่ในที่สุดคนทั้งโลกรวมสันตะปาปารุ่นหลังๆ ก็ได้นำเอาหลักวิชาของตาคนนั้น มาใช้อยู่จนทุกวันนี้

ส่วนหลักคำสอนในพุทธศาสนา ปล่อยให้มีสิทธิเสรีเต็มที่ ในการคิดค้นใดๆ ก็ตาม แม้แต่ในหลักคำสอนของพุทธศาสนา เพราะหลักคำสอนในพุทธศาสนาสูงกว่าหลักวิชาวิทยาศาสตร์มาก พิสูจน์ข้อเท็จจริงได้มิใช่แต่ด้านวัตถุอย่างเดียว แต่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ทั้งด้านนามธรรมอีกด้วย เมื่อพิสูจน์ได้ข้อเท็จจริงแล้ว ก็มิได้นำเอามาใช้ในทางที่ให้เกิดโทษ มีแต่จะนำมาใช้ในทางสันติให้เกิดคุณประโยชน์ทั้งแก่ตนและคนอื่นอีกด้วย

บางท่านได้นำมาใช้ได้ผลจนโลกตามเกาะไม่ติด พ้นจากโลกไปเลยก็มี เช่น พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย เป็นต้น จึงเป็นที่น่าเสียดาย ที่คนเราในสมัยนี้มีการศึกษาดีและสูงๆ แต่โดยมากเข้าใจว่า การศึกษาตำราได้สำเร็จปริญญาแล้วก็เป็นพอ บางคนอาจไม่คิดเลยก็ได้ว่า ตำราที่จะเขียนออกมาเป็นหลักสูตรนั้น เบื้องต้นออกมาจากมันสมองซึ่งนอกเหนือจากตำรา ความรู้ที่ได้มาจากตำรามิใช่ความรู้ที่เกิดขึ้นจากสมองของตนเอง ประสบการณ์ที่กระตุ้นให้เกิดความรู้จากสมองนั้นแล จึงจะเป็นความรู้ของเราเองโดยแท้

ในทางพุทธศาสนาท่านเรียกว่า “ปัจจัตตัง” เห็นหรือรู้ชัดต้วยตนเอง อันเนื่องมาจากพลังของใจที่ได้อบรมให้เข้าถึงความสงบดีแล้วเกิดความรู้ชนิดนี้ และจะปฏิบัติตนเองให้เปลี่ยนจากสภาพเดิมได้ โดยแท้จริง แล้วเข้าถึงสภาพของจริงตามหลักสัจธรรมในพระพุทธศาสนา

ฉะนั้นผู้จะรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมคำสอนของพุทธศาสนา จะต้องมีทั้งการศึกษาและการปฏิบัติควบคู่กันไป จะมีแต่อย่างเดียวอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ ผู้จะเป็นนักเผยแพร่พุทธศาสนาในสมัยคนมีการศึกษาดีความรู้สูง จึงจำเป็นจะต้องฝึกฝนตนให้พร้อม ทั้งสองอย่างดังกล่าวแล้ว ถ้าหาไม่แล้วก็จะไม่เป็นผลดีแก่การเผยแพร่เท่าที่ควร

นอกจากนั้น เราได้แนะท่านว่า เราควรจะเผยแพร่ให้เต็มแบบฉบับ กล่าวคือ นอกจากเราจะรักษาศีลพระปาฏิโมกข์ให้สมบูรณ์แล้ว เมื่อคณะของเรายังมีน้อยไม่สามารถจะจัดการศึกษาได้ ก็จงรักษากิจวัตรอื่นๆ เช่น ธุดงควัตร มีการออกบิณฑบาต เป็นต้น ทั้งจะเป็นการแบ่งเบาเงินบำรุงโรงครัวอีกด้วย

การเผยแพร่พุทธศาสนาต้องมีการศึกษาพร้อมกับการลงมือปฏิบัติไปด้วยกัน พุทธศาสนาจึงจะมีรากตั้งมั่นอยู่ได้นาน หมู่เพื่อนพร้อมด้วยท่านมหาสมัยต่างก็เห็นดีด้วย แล้วก็รับว่าจะนำเอาไปปฏิบัติให้เป็นไปตามมตินี้ต่อไป

เราได้ให้คติท่านมหาสมัยไว้ว่า อุปสรรคบนท้องถนนของการเผยแพร่พุทธศาสนาในต่างประเทศมีข้อใหญ่ๆ อยู่สามประการคือ

  1. ๑ พระเอาเปรียบชาวบ้าน ไม่ทำมาหากิน มีแต่ขอทานชาวบ้านเขาร่ำไป
  2. ๒ พระลัทธิเถรวาทใจแคบ ไม่ช่วยประชาชนที่ทุกข์ยากลำบาก ไม่เหมือนศาสนาอื่นและลัทธิอื่น
  3. ๓ พระเถรวาทห้ามเขาฆ่าสัตว์ แต่ตัวเองยังฉันเนื้อสัตว์อยู่

ผู้จะออกไปเผยแพร่พุทธศาสนาในต่างประเทศ จะต้องประสบอุปสรรคเหล่านี้แน่ ฉะนั้นผู้เขียนจึงได้แนะท่านมหาสมัยให้เตรียมเครื่องมือไว้ สำหรับแก้ไขอุปสรรคเหล่านี้ หากท่านไม่ลืมเมื่อเกิดมีอุปสรรคดังว่านั้นขึ้นมา คงจะจับมาใช้ได้ทันที

อนึ่ง อันตรายที่ร้ายกาจยิ่งกว่านั้น ของพระผู้จะออกไปเผยแพร่พุทธศาสนาในต่างประเทศ คือขนบธรรมเนียมประเพณีของเขาซึ่งเรายังไม่เคยชิน อาจเป็นเครื่องกีดขวาง และบาดหูบาดตาในเวลาที่ได้ไปประสบเข้า แล้ว ทำให้ท้อแท้ระอาเบื่อหน่ายแก่ใจก็ได้ หรือมิฉะนั้นก็อาจทำให้ลืมตัวลืมใจ หลงระเริงไปตามเขาก็ได้

ข้อควรคิดที่ได้จากออสเตรเลีย

ตามประวัติ เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วนั้นว่า ออสเตรเลียเดิมเป็นเมืองป่า ผู้คนยังไม่ทันเจริญ เผ่าไหนที่เจริญแล้ว ก็หาล่าเผ่าที่ยังไม่ทันเจริญ เล่นอย่างนายพรานล่าสัตว์กินอย่างนั้นแหละ ชาวอังกฤษเกลียดนักโทษอันธพาล จึงได้ขนใส่เรือมาเทไว้ที่เกาะนี้ เพื่อให้สมน้ำหน้า ดีไม่ดีจะได้ถูกเขาล่าเล่นเป็นสัตว์ไปในที่สุดก็ได้

นักโทษเหล่านั้นคงจะรู้สำนึกตนได้ เพราะเป็นธรรมดาของคนผู้ไม่มีที่พึ่งแล้วต้องพึ่งตนเอง จึงพากันตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน ในด้านเกษตรกรรมด้วยความอุตสาหะวิริยะ จนตั้งตัวเป็นหลักเป็นแหล่งได้ พอดีเหมาะสมกับโลกเขาเจริญด้วยเครื่องจักรยนต์กลไก ซึ่งเขาต้องการวัตถุดิบเอามาป้อนโรงงานให้มากๆ พร้อมกับออสเตรเลียสมบูรณ์ด้วยน้ำด้วยดินอยู่แล้ว เมื่อประชากรมีที่จำหน่ายผลผลิตจากเกษตรกรรม ก็ยิ่งทำกันเป็นการใหญ่ รายได้จึงเพิ่มทวีขึ้นเป็นลำดับ เลยกลายมาเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์อย่างที่ปรากฏเห็นอยู่แล้ว

ชาวอังกฤษ ซึ่งสมัยโน้นพากันดูถูกเหยียดหยามออสเตรเลีย มาเวลานี้ชักจะอายๆ ออสเตรเลียไปเสียแล้ว ออสเตรเลียยังมีทรัพยากรธรรมชาติอยู่มาก พื้นที่ยังกว้างขวางมาก แต่พลเมืองเพียง ๑๓ ล้านเท่านั้น ทรัพยากรเป็นปัจจัยทำให้ประเทศชาติเจริญอยู่ได้นานๆ ออสเตรเลียเป็นประเทศหนึ่งของโลกที่มีทรัพยากรมากที่สุด โลหะต่างๆ เกือบจะมีครบถ้วน ในขณะที่บางประเทศหาทรัพยากรบนพื้นแผ่นดิน ในน้ำมาใช้บริโภคจนหมดสิ้น แล้วก็ขุดหรือดำลงไปเอาใต้น้ำใต้ดินมาใช้กำลังจวนจะหมดอยู่แล้วก็มี บางประเทศก็หาคุ้ยขุดออกมาโชว์ เพื่ออวดความรวยความมีของตนก็มี แต่ออสเตรเลียไม่ได้อวดใครเพราะทรัพยากรบนผิวดินบนน้ำยังมีอยู่เหลืออยู่หลาย พลเมืองของประเทศจะเอามาใช้บริโภคก็ยังไม่หมด

ต่อไปในอนาคตหากไฟบรรลัยโลกยังไม่อุบัติขึ้น ออสเตรเลียอาจเป็นพี่เลี้ยงสำคัญของโลกประเทศหนึ่งก็ได้ แม้ว่าขณะนี้โลกจะให้สมัญญาสมมุติว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วก็ตาม แต่มิได้หมายความว่าเมื่อพัฒนาแล้ว ออสเตรเลียมิได้ทำอะไรอีก นั่งกินนอนกินอยู่เป็นสุขสบายเลย แต่แท้จริงเขาได้พยายามทะนุถนอมรักษาสิ่งที่เขาได้พัฒนานั้น และยังพยายามหาทางพัฒนาให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นต่อไปอีก

จงหันมาดูเมืองเทวดาของไทยเราซิ เข้าไปในเมืองแล้ว เทวดาสักองค์เดียวก็ไม่เห็น เห็นมีแต่จิ๊กโก๋จิ๊กกี๋ฮิปปี้เต็มไปหมดในท้องถนน คนไม่เคยพัฒนาและไม่รู้จักความหมายในคำว่าพัฒนา ก็เข้าใจว่าทำสิ่งใดลงไปเสร็จแล้ว สิ่งนั้นจะไม่ต้องทำอีกต่อไป เข้าใจเช่นนั้นผิด

เด็กเมื่อเจริญมาถึงขั้นเป็นหนุ่มเป็นสาวก็ชอบใจ เมื่อมาถึงขั้นแก่แล้วจึงจะรู้ตัวว่า หนุ่มๆ สาวๆ นั้น คือแก่ยังมาไม่ถึงต่างหาก มิใช่หนุ่มสาวดอก บ้านเมืองถนนหนทางที่ทำให้มีระเบียบเรียบร้อยสวยงามนั้น ที่แท้คือไปเอาวัตถุอันนั้นมาจากที่อื่น ซึ่งเขาสูญสิ้นไปมาประกอบขึ้น ณ ที่นั่นต่างหาก อันแสดงถึงการเก็บหอบเอาของจาก ณ ที่นี้ไปปรับปรุง ณ ที่โน้น ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเท่านั้นเอง

คนเราเจริญเติบโตอยู่ได้เพราะอาหาร แต่ต้องสิ้นเปลืองเลือดเนื้อของสัตว์อื่น และพืชพันธุ์อื่นเป็นอันมาก คนเราเดินทางมุ่งแต่จะให้ถึงจุดหมายปลายทาง แต่ลืมว่าเราได้ละต้นทางไกลออกไปทุกทีๆ

คนเราจงอย่าได้มองแต่ข้างหน้าถ่ายเดียว ตามสายตาซึ่งมันมีอยู่ข้างหน้า จงใช้ปัญญาย้อนมาดูข้างหลังบ้างจึงจะเห็นของจริง แล้วจึงจะทำให้เราหายเมาหลงลืมตัว เข้าถึงหลักสัจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

๓๓.๓ เยี่ยมอินโดนีเซีย

จากออสเตรเลีย เรากลับมาพักที่สิงคโปร์แล้ว จึงเดินทางต่อไปอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๑๙ มีบรรดาพวกเพื่อนของเราที่อยู่ในอินโดนีเซียเกือบทั้งหมดคือ ท่านเจ้าคุณสุวีรญาณ พระครูธรรมธรสมบัติ พระสุธัมโม พระอัคคปาโล และพระเขมิโย ต่างมาคอยรอรับที่สนามบินจาการ์ตาด้วย รวมชาวพุทธสมาคมที่นั่นด้วย

นอกจากนครจาการ์ตาแล้ว เราได้มีโอกาสไปเยี่ยมเมืองอื่นๆ อีก เช่น บันดุง ยอร์คจาการ์ตา เมนดุด สะมารัง สุราบายา และบาหลี เป็นต้น ได้ไปเยี่ยมพุทธสมาคม และวัดทางพุทธศาสนาที่คณะธรรมทูตได้เป็นหัวหน้าจัดสร้างไว้ ดังเช่น วัดมัชฌิมศาสนวงศ์ ที่อยู่ติดเจดีย์เมนดุด หรือวัดธรรมทีปาราม ที่บาตู มาลัง สุราบายา

แต่ละแห่งเราได้เห็นด้วยความปลื้มใจ ทุกเย็นจะมีพุทธบริษัททั้งหญิงชายและหนุ่มแก่ มารวมไหว้พระสวดมนต์มิได้ขาด หลังจากนั้น พระท่านก็จะเทศนาอบรม และพาให้ทำสมาธิกันเป็นประจำ

ทัศนคติของเรา เราเข้ามาในอินโดนีเซียได้เห็นปูชนียวัตถุ อันมีลักษณะเป็นศาสนาประสมกันแล้ว อดที่จะเกิดความสลดสังเวชไม่ได้ พร้อมทั้งหวนระลึกถึงเมืองไทยของเรา เราปฏิเสธอนุสาวรีย์ และปูชนียสถานไม่ได้ว่า เป็นของไม่มีค่ามหาศาล

ดูแต่ชาวอินโดนีเซียซิ พระสงฆ์และคัมภีร์พุทธศาสนาก็ไม่ทราบว่า หายสาบสูญไปจากอินโดนีเซียแต่เมื่อไร ไม่มีใครทราบเลย ฮินดูยิ่งแล้วใหญ่ไม่มีพระเลย มีแต่ปูชนียวัตถุและคัมภีร์เท่านั้น ด้วยความยึดมั่นในศาสนวัตถุปูชนียสถานแท้ๆ ที่ยังมีชาวอินโดนีเซียเหลือนับถือพุทธศาสนาอยู่ ๑๐ กว่าล้านคนในจำนวนพลเมือง ๑๑๓ ล้านคน

แล้วทำไมนะ คนเราจะต่างคนต่างอยู่ไม่ได้เทียวหรือ ทำไมจึงต้องอิจฉา ทำลายล้างผลาญซึ่งกันและกัน อันมิใช่หน้าที่ของตน ทำไมมนุษย์เราจึงหน้ามืดด้วยกิเลสตัณหา ไม่เห็นใจคนอื่นประเทศอื่นเขาบ้างเลย การเสียเอกราชของชาติ ย่อมหมายถึงเสียสิทธิเสรีและอธิปไตยทั้งหมด อินโดนีเซียไม่ทราบว่าได้เสียเอกราชให้แก่ชาวมุสลิมแต่เมื่อไร ไม่เคยมีประวัติกล่าวไว้ด้วย เพราะหนังสือประวัติต่างๆ เขาเผาทิ้งหมด มาทราบเอาบ้างก็ตอนฮอลันดามาปกครองอยู่ ๓๐๐ กว่าปีนี่เอง ถึงกระนั้นก็ตามหนังสือและคัมภีร์ต่างๆ ที่เกี่ยวถึงประวัติศาสตร์ของอินโดนีเซียนั้น ฮอลันดาก็เก็บเอาไปหมด ชาวอินโดนีเซียจึงไม่ผิดอะไรกับเขาจับไก่มาถอนขนแล้วปล่อย

มิหนำซ้ำปูชนียสถานต่างๆ ซึ่งสร้างมาด้วยศรัทธา (ตามประวัติว่าสร้างอยู่ ๙๐ ปี) ตามที่ดูก้อนหินต่างๆ แล้วแสดงว่ายังไม่เรียบร้อยดีเลย ซึ่งคนในอีกล้านปีข้างหน้าหากจะสร้างด้วยเงิน ก็ไม่มีวันจะทำได้สำเร็จ หินล้วนๆ แท้ๆ ไม่มีจิตใจจะไปโกรธแค้นใคร ยังไม่พ้นน้ำมือของอสุรกายไปทำลายจนได้ แล้วทำเช่นนั้นมันจะได้อะไรแก่ผู้ทำเล่า นอกจากชาวโลกรุ่นหลังๆ อีกกี่ร้อยกี่พันปีมาเห็นเข้าแล้ว ทั้งๆ ที่มิใช่ประเทศของเขา และเขาก็ไม่เห็นหน้าและทราบชื่อผู้กระทำนั้น ต่างก็พากันสาปแช่งไม่ให้มาผุดมาเกิดเห็นโลกนี้อีกต่อไป

โลกนี้จึงเป็นของที่น่าเบื่อหน่ายหนักหนา เมื่อหวนระลึกถึงเมืองไทยประเทศไทยแล้ว ปูชนียวัตถุในพุทธศาสนายิ่งมีค่ามากกว่าที่อินโดนีเซียเสียอีก ถึงอินโดนีเซียจะมีปูชนียวัตถุเป็นของใหญ่โต น่ามหัศจรรย์สักเท่าไหร่ก็ตาม แต่ก็ยังไม่เป็นทัศนียสถานเหมือนโบสถ์วิหารในเมืองไทยเรา

ในโลกนี้ไม่มีที่ไหนอีกแล้ว ที่จะมีปูชนียสถานอันน่าเลื่อมใสยิ่งไปกว่าเมืองไทยเรา เราเชื่อ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลยว่า ถ้าหากคนไทยศึกษาให้เข้าใจ ในความหมายของพุทธศาสนาที่แท้จริงแล้ว ยอมปฏิบัติตามให้ถูกต้อง ลัทธิและการเมืองใดเล่าในโลกนี้ จะมาทำลายพุทธศาสนาให้สูญสิ้นไปจากเมืองไทยได้ ย่อมไม่มี

ขณะที่เราไปตระเวนอยู่ในอินโดนีเซีย เจ้าคุณสุรีวรญาณ และพระครูธรรมธรสมบัติ พระสุธัมโมเป็นผู้
รับรองทั้งเป็นมัคคุเทศก์ด้วยโดยตลอด เจ้าคุณวิธูรธรรมาภรณ์ไม่อยู่ ไปกรุงเทพฯ ยังไม่กลับ เมื่อไปเห็นร่องรอย และความเลื่อมใสอันฝังลึกเข้าถึงจิตใจ ของชาวอินโดนีเซีย ในตัวของเจ้าคุณวิธูรฯ แล้ว ทำให้เราเกิดความเลื่อมใส และเห็นความสามารถของท่านมากๆ เด็กๆ ตัวเล็กๆ เมื่อเอ่ยชื่อถึงท่านเจ้าคุณวิธูรฯ แล้วจะรู้จักกันทั้งนั้น ท่านเป็นพระที่ยอมเสียสละ และอดทนอย่างยอมพลีชีพ เพื่อบูชาพระศาสนาจริงๆ นับว่าเป็นกำลังใหญ่สำคัญ แก่สมเด็จพระญาณสังวร และพระสงฆ์ไทย ในการไปเผยแพร่พุทธศาสนาในอินโดนีเซียมาก

หลายศตวรรษมาแล้ว นับแต่พระสงฆ์ไทยได้ออกไปเผยแพร่พุทธศาสนาในต่างประเทศ หลังจากเจ้าคุณพระอุบาลีสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้นำคณะสงฆ์ไทย ๑๕ รูป ออกไปเผยแพร่พุทธศาสนาในศรีลังกาแล้ว ก็เห็นจะมีครั้งนี้กระมัง ที่เอากันจริงจัง แล้วก็ปรากฏเห็นผล เป็นที่น่าพอใจมาก แต่เป็นที่น่าเสียดาย รู้สึกว่าหาพระผู้จะเป็นเช่นอย่าง เจ้าคุณวิธูรฯ นี้มีน้อย ถ้าหาได้มากๆ รูปหน่อย ก็จะเป็นประโยชน์แก่พุทธศาสนา และแก่นานาชาติ ซึ่งเขากำลังต้องการอยู่มากในเวลานี้

ผู้ให้เมื่อมีของต้องการอยู่ก็ควรให้เขา ในเมื่อเขาอยากได้มิใช่หรือ หรือพระสงฆ์ไทยเรามีจำนวนเป็นแสนๆ พากันเป็นพระจน ไม่มีอะไรจะเอาไปแจกจ่ายเขาแล้วอย่างนั้นหรือ ? เวลานี้ชาวอินโดนีเซียพากันตื่นตัวขะมักเขม้นฟื้นฟูพุทธศาสนากัน อย่างเอาเป็นเอาตายกันทีเดียว ดังจะเห็นได้ จากเมื่อมีบุคคลบางกลุ่ม กีดกันไม่ให้เจ้าคุณวิธูรฯ กลับไปอินโดนีเซียอีก ชาวพุทธเขาพร้อมกันต่อต้านเอาหัวชนเสาเลย ทุกระแหงแม้ตามชนบทบ้านนอก ถึงแม้จะไม่มีพระเป็นผู้นำเขา เขาก็นำกันเอง โดยมีหัวหน้า ซึ่งเขาตั้งกันขึ้นเองเรียกว่า บัณฑิตตะ แนะนำชักชวนให้เข้ามาเป็นพุทธมามกะเป็นกลุ่มๆ แล้วตั้งชื่อให้ว่า พุทธสมาคม

แล้วชาวอินโดนีเซียยังเชื่อมั่นฝังอยู่ในใจของทุกๆ คนว่า พ.ศ.๒๕๒๐ นี้ พุทธศาสนาในอินโดนีเซียจะฟื้นฟูกลับคืนมาอีกวาระหนึ่ง มีเรื่องเล่าไว้ว่า อินโดนีเซียรุ่งโรจน์ด้วยพุทธศาสนา มีเอกราชอธิปไตยของตนเองมานานแสนนาน จะด้วยเหตุผลอันใดก็ไม่ทราบได้ เจ้าผู้เป็นใหญ่ในเมืองโมโจเคอร์โต ซึ่งเป็นศูนย์กลางของราชวงศ์มิชะปาหะโต ที่กลับใจไปนับถืออิสลามแล้ว ก็ประกาศให้ชาวเมืองนับถือด้วย มีแต่พระราชบุตรองค์เดียวที่ใจแข็ง ยอมสละชีวิต ไม่ยอมนับถือศาสนาอิสลาม หนีเข้าป่าเลย ก่อนจะหนีเข้าป่ายังได้ประกาศออกมาอย่างเด็ดเดี่ยวว่า อีก ๕๐๐ ปีข้างหน้า จะกลับคืนมาฟื้นฟูพุทธศาสนาในอินโดนีเซีย ให้รุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็นับมาจากนั้นมาถึง พ.ศ.๒๕๒๐ ครบถ้วน ๕๐๐ ปีพอดี

ฉะนั้น ชาวอินโดนีเซียจึงเชื่อมั่น ตามคำพยากรณ์ของพระราชบุตรองค์นั้นว่า พุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๒๐ นี้แน่นอน เราอยากขออ้อนวอนเจ้ากูผู้มีเมตตา ได้แผ่ความเมตตาไปในทิศอินโดนีเซียบ้างเถิด เพื่อเป็นการบูชาพระพุทธศาสนา สนองพระมหากรุณาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

๓๓.๔ ความรู้สึกในการไปต่างประเทศ

หลังจากที่ตระเวนไปตามเมืองต่างๆ สิงคโปร์ ๓ ครั้ง ออสเตรเลียและอินโดนีเซีย แล้วเราก็กลับมาถึงกรุงเทพฯ ในวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๒๐ เป็นเวลารวมทั้งสิ้นสองเดือนเศษ แม้จะเป็นระยะเวลาสั้น แต่ก็ได้ประโยชน์เกินกว่าที่คาดหมายไว้มาก ที่สิงคโปร์และออสเตรเลีย มีผู้สนใจศึกษาธรรมะอย่างจริงจังจำนวนไม่น้อย ส่วนในอินโดนีเซียยิ่งมีผู้สนใจศาสนาพุทธมากขึ้นไปอีก เมื่อเราไปอบรมเพิ่มเติมก็ยิ่งมีความกระตือรือร้นมากขึ้น เราไปเห็นแล้วก็น่าสงสาร แม้จะมีคนสอนน้อย แต่กระนั้น การปฏิบัติของเขาก็เป็นไปโดยส่วนมาก การอบรมธรรมะเราได้เขียนไว้แล้วในหนังสือ ‘ปุจฉาวิสัชนา ธรรมะในต่างประเทศ’ ส่วนรายละเอียดของการเดินทางก็ได้เล่าเอาไว้แล้วใน ‘ประวัติชีวิตการไปต่างประเทศ’ ท่านผู้สนใจอาจหาอ่านได้ตามใจ

ทุเรียนมีเปลือกหนา หนามคม ก็เพื่อรักษาเนื้อในของมันไว้ ท่านที่ต้องการรับประทาน จงค่อยพลิกหาที่ต่อระหว่างพูของมันฉีกออก ท่านคงได้รับประทานและรู้จักรสอันโอชะสมหวัง

ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ มีอะไรบ้างที่ดีแล้ว ถูกแล้วหมดทุกประการ นอกจากคนฉลาดผู้มีปัญญา จะรู้จักฝึกฝนอบรมตนเองให้ดีและถูกต้องเท่านั้น

มนุษย์เราทุกเพศทุกวัยและทุกชาติภาษา แม้ตลอดถึงสัตว์ทุกจำพวก คงไม่มีใครสักคนเดียวที่จะปฏิเสธว่า เขาเหล่านั้นไม่ต้องการความสุขเพื่อตนเอง แล้วต่างก็เกลียดความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น

ฉะนั้นด้วยเหตุผลทั้งสองประการนี้แล มนุษย์ชาวโลกตลอดถึงสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย จึงได้พากันดิ้นรนกระเสือกกระสน เพื่อหาหนทางให้พ้นจากทุกข์ที่ตนเกลียด แล้วให้ได้มาซึ่งความสุขที่ตนต้องการนั้น การดิ้นรนที่ว่านี่แหละ บางทีมันก็ออกมาในรูปการพัฒนาด้านต่างๆ พร้อมกันไปในตัว แต่การพัฒนาที่ว่านี้ ถึงแม้จะเป็นการพัฒนาด้วยเหตุผลก็จริงแล

ถ้าพิจารณาให้ดีๆ จะเห็นว่ามันเจริญไปด้านหนึ่งของมัน แต่อีกด้านหนึ่งมันกลับให้เสื่อมลงๆ ความทุกข์เป็นคุณมหาศาลแก่การพัฒนา (คือทำให้เกิดความฉลาดเพื่อเอาตนรอด) แต่พร้อมกันนั้น มันก็ได้นำเอาความทุกข์เดือดร้อน มาปล่อยไว้ให้แก่โลกนี้ เป็นอเนกประการ

เราเมื่อก่อน ไม่เคยไปเมืองนอกเมืองนากับเขา นอกจากเช้ามาแจวเรือข้ามแม่น้ำโขง ไปฉันที่นครเวียงจันทน์ของลาว แล้วก็กลับมาจำวัด ที่วัดเท่านั้น ครั้งนี้แก่จวนจะเข้าโลงอยู่แล้ว บังเอิญได้ไปเที่ยวเมืองนอกกับเขา เมื่อไปแล้วก็ไม่เห็นความสนุกตื่นเต้นอะไร นอกจากจะได้ไปเห็นข้อเท็จจริง ความเป็นอยู่เป็นไปของมนุษย์เรา ตลอดถึงสัตว์ทั่วๆ ไปในแต่ละประเทศ ก็มีสภาพเช่นเดียวกันกับประเทศของเรา และประเทศลาวที่ได้ไปเห็นมาแล้ว จะผิดแผกกันบ้างเล็กน้อยก็ที่รสนิยมของแต่ละท้องถิ่นนั้นๆ ข้อใหญ่ก็ลงจุดเดียวกัน คือ เกลียดทุกข์ดิ้นรนเพื่อให้ตนได้พ้นไปจากทุกข์

ฉะนั้นในเมื่อคนเราไม่ต้องการทุกข์ สัตว์จำพวกอื่นก็เช่นเดียวกัน แต่เมื่อเกิดมาอยู่ในวงล้อมของสิ่งสองประการนี้แล้ว จึงควรคำนึงถึงวิถีชีวิตของตนๆ สามประการดังจะกล่าวต่อไปนี้ ซึ่งทุกๆ คนจะต้องดำเนินให้ถูกต้องเป็นธรรม ถ้าหากเราไม่เข้าใจในวิถีชีวิต และดำเนินไม่ถูกต้องเป็นธรรมแล้ว ผลที่ได้รับ นอกจากจะไม่นำความสุขมา ให้แก่ตนเองและคนอื่นแล้ว ยังจะต้องเพิ่มทวีความทุกข์เดือดร้อน ให้แก่ตนและคนอื่นอีกด้วย

ทุกคน ทั้งผู้มีอำนาจมีความฉลาดรู้ดี และคนมีคนจน พากันพูดเสียงเดียวกันหมด ในเมื่อพูดถึงความดีของศีลธรรมอันดีงามว่า ‘สังคมมันพาไป’

เมื่อรู้ว่าสังคมมันเลวแล้ว และเราคนหนึ่งมิใช่หรือ ที่มีส่วนในสังคมนั้น แล้วทำไมแต่ละคนจึงไม่ช่วยกันคิดแก้ไข หรือต้านทานสังคมนั้นไว้บ้าง แล้วพากันเอาสังคมที่ดีๆ มีประโยชน์มาใช้เสีย สังคมมันจะได้ดีขึ้น ครอบครัวก็ดี สังคมก็ดี และอาชีพก็ดี ทั้งสามอย่างนี้จะดำเนินไป ได้ด้วยความราบรื่นและเรียบร้อยเป็นสุขแล้ว ต้องดำเนินให้ถูกต้องตามหลักฆารวาสธรรม (คิหิปฏิบัติ) ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ถ้าหาไม่แล้ว จะไร้ค่า นำมาแต่ความเดือดร้อน เป็นทุกข์โดยส่วนเดียว

ศีลธรรมเครื่องนำโลกให้เกิดความสุข ประเทศชาติบ้านเมืองใดก็ตาม จะเจริญก้าวหน้าในด้านวัตถุก็ดี หรือในด้านบริหาร จะเป็นระบอบและลัทธิใดก็ตาม หากขาดหลักศีลธรรมดังว่านี้แล้ว จะหาความสุขทางใจให้สมบูรณ์ได้ยาก ธรรมคือการไม่ประพฤติชั่วของแต่ละคนก็ดี และแต่ละคน ต่างก็กลัวต่อความไม่ดีด้วยกันแล้วนั่นแล คือความเจริญที่แท้จริง ของครอบครัวและของสังคม ตลอดถึงอาชีพและประเทศชาติเป็นที่สุด

การเดินทางครั้งนี้ พล.อ.ท.ชู สุทธิโชติ กรรมการผู้จัดการบริษัท การบินไทย จำกัด ได้ช่วยเป็นธุระ จัดทำเรื่องการเดินทาง ให้เรียบร้อยทุกอย่าง นับตั้งแต่การทำหนังสือเดินทาง วีซ่า ตั๋วเครื่องบินเป็นต้นไป แล้วยังติดตามไปส่งจนถึงสิงคโปร์ (และอินโดนีเซียในตอนหลัง) เมื่อตนเองไม่สามารถจะไปด้วยได้ตลอด ก็ยังอุตส่าห์ติดต่อส่งข่าวไปยังสาขาต่างๆ ที่สิงคโปร์ ซิดนีย์ จาการ์ตา และบาหลี ตลอดจนเจ้าหน้าที่ประจำเรือบินให้การต้อนรับและให้ความสะดวกเป็นอย่างดียิ่ง โดยเฉพาะที่จาการ์ตา ซึ่งมีคุณสุทธิพร กรรณสูต เป็นผู้จัดการ เธอและภรรยา (คุณติ๊ก) ยังได้เป็นธุระช่วยเหลือ เรื่องที่พัก และการเดินทางภาคพื้นดินไปเมืองต่างๆ อีกด้วย

จึงขอจารึกน้ำใจและบุญคุณของ พล.อ.ท.ชู และคุณสุภาพ สุทธิโชติ พร้อมทั้งขอขอบคุณ เจ้าหน้าที่ของบริษัทการบินไทยทุกท่านเป็นอย่างมาก ที่ได้เอื้อเฟื้อคณะของเราไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย เมื่อกลับมาแล้วประมาณ ๒ เดือน ชาวสิงคโปร์ได้นิมนต์กลับไปอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ดูที่เขาอยากสร้างวัดเพื่ออบรมกัมมัฏฐาน ได้ไปดูที่ประมาณ ๑๐ แห่ง แต่ไม่มีที่แห่งใดเหมาะที่จะสร้างวัดได้ การที่ไม่ได้ก็ดีเหมือนกัน ถ้ามีการสร้างวัดขึ้นมา จะต้องเป็นกังวลอีก เพราะสร้างแล้วก็จะต้องเป็นภาระมีธุระคอยดูแล

[จบ อัตตโนประวัติ หน้า 08 จาก 09]