อัตตโนประวัติ 03

พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
[หน้า 03 จาก 09]

ศุภนิมิตและความรู้ที่เป็นธรรม เกิดขึ้นในสมัยเป็นเด็ก

เนื่องจากในระยะนี้… จะเพราะชีวิตของเรากำลังจะก้าวเข้าสู่วัยหนุ่มหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ โยมพ่อของเราจึงสนใจในตัวเรามากเป็นพิเศษ ตอนรับประทานอาหารเย็น(ราว๑ทุ่ม) เสร็จแล้ว ท่านมักจะหาเรื่องแลชักอุทาหรณ์ ไม่ว่าด้านทางโลกแลทางธรรมมาสอนเราอยู่เสมอ บางทีก็ถามปัญหาหยั่งความคิดเห็นของเราบ้าง เช่น ท่านถามว่า “มึงชอบผู้หญิงและเมื่อจะแต่งงาน จะแต่งงานกับผู้หญิงชนิดไหน” ดังนี้เป็นต้น คำตอบเรายังจำได้ไม่ลืมว่า “ชอบผู้หญิงผิวขาวเหลือง เนื้อกลมเกลี้ยงและสุภาพเรียบร้อย พร้อมทั้งกายแลวาจาใจ ส่วนสกุลไม่ค่อยมีปัญหา หากมีสกุลด้วยยิ่งดี”

วันหนึ่งเรานอนหลับกลางคืนได้เกิดสุบินนิมิตว่า เรากับเพื่อนหลายคนด้วยกัน ออกจากบ้านไปเที่ยวตามท้องทุ่งนา ตามประสาของเด็กสมัยนั้น ขณะนั้น ได้มีพระกัมมัฏฐานสองรูปสะพายบาตรแบกกลดเดินมา เห็นเราเข้าแล้วหนึ่งในสองนั้นวิ่งปรี่เข้าหาเราเลย เรากลัว วิ่งหนีไม่คิดชีวิตชีวาเอาทีเดียว เพื่อนๆ เขาก็เฉยๆ ดูเหมือนไม่มีเหตุการณ์อะไรเลยอย่างนั้นแหละ เมื่อเป็นเช่นนั้น โน่นแน่ะ ที่พึ่งขั้นสุดท้ายของเราก็คือบ้านแลพ่อแม่ แต่ที่ไหนได้เมื่อวิ่งขึ้นไปบนบ้าน เรียกร้องขอให้พ่อแม่ท่านช่วยบ้าง ท่านกลับเฉย ดูเหมือนไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเหมือนกัน ส่วนพระกัมมัฏฐานรูปนั้นท่านก็วิ่งติดตามมามิได้หยุดจนกระชั้นชิด เราวิ่งเข้าในห้องนอนมุดเข้ามุ้งเลย ท่านก็บุกเข้าไปจนได้ เลิกมุ้งขึ้นแล้วใช้แส้หวดเราลงไปอย่างเต็มแรง เราตกใจสะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นมา ได้สติตัวสั่นเหงื่อเปียกโชกไปหมดทั้งตัว หัวใจยังสั่นริกๆ อยู่เลย ที่ถูกแส้ท่านฟาดก็ดูยังปรากฏแสบๆ อยู่ เราเข้าใจว่าเป็นความจริง เอามือลูบๆ ดูก็ยังเข้าใจว่าเป็นจริงอย่างนั้นอีกด้วย

เมื่อเรามาตั้งสติ กำหนดทวนเหตุการณ์ไปมาโดยรอบคอบ จนกระทั้งจิตสงบหายกลัวแล้ว เรื่องทั้งหลายแหล่จึงค่อยสงบลง เรื่องนี้เราได้ลืมไปแล้วเป็นเวลาช้านาน จนกระทั่งเราได้ออกเดินรุกขมูลกัมมัฏฐานกับท่านอาจารย์ของเรา เหตุการณ์ชี้อนาคตในชีวิตของเรา ถูกต้องสมเป็นจริงทุกประการ

อีกเรื่องหนึ่งในระยะเดียวกันนี้ คือวันหนึ่ง… แต่มิใช่นิมิตความฝัน เป็นแต่นอนไม่หลับจนดึก เพราะมาระลึกถึงพระคุณของบิดามารดามาก คิดไป พิจารณาไปว่า บิดามารดาของเราเลี้ยงเราด้วยความทุกข์ยากกรากรำตั้ง ๑๐ ชีวิตจนเติบโตขึ้นมา ต่อไปไม่นานลูกๆ เหล่านั้นเมื่อเขาแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันออกไปอยู่เป็นของใครของมัน พอคิดมาถึงตอนนี้ทำให้ระลึกถึงบิดามารดาว่า เอ๊ะ บิดามารดาของเราล่ะใครจะเลี้ยงดูท่าน โดยที่มิได้คิดถึงอนาคตว่าจะเป็นอย่างไรตามวิสัยของเด็ก แล้วทำให้เกิดเศร้าสลดใจในความอนาถาของบิดามารดาเป็นอย่างยิ่ง จนสะอื้นน้ำตาร่วงหมอนเปียกไปหมด อาการเช่นนี้เป็นอยู่นานครันทีเดียว ยิ่งคิดจิตก็ยิ่งละห้อยถึงท่านทั้งสองเป็นกำลัง ภายหลังมาตัดสินใจด้วยตนเองว่า เราล่ะ โตมาเราจะไม่แต่งงานอย่างเขา เมื่อเขาแยกย้ายกันออกจากบ้านไปแล้ว เราจะรับเลี้ยงบิดามารดาของเราแต่ผู้เดียวให้เต็มที่ เมื่อเราตกลงตัดสินใจของเราคนเดียวอย่างนั้น แล้วก็เกิดความเต็มตื้นอิ่มใจ เวลานั้นก็ดึกครันจึงได้นอนหลับไป

ธรรมทั้งหลายมีอยู่ที่ตัวเราทุกคน ผู้รู้ธรรมคือใจ ที่จะรู้มากรู้น้อย หยาบ ละเอียด ก็แล้วแต่ความสามารถ บุญบารมีหรือการอบรมของแต่ละบุคคล

การตัดสินใจของเราครั้งนั้น เพราะความกตัญญูระลึกถึงพระคุณของผู้มีพระคุณอย่างยิ่ง

อีกคืนหนึ่งก็เหมือนกัน เราได้นอนคิดหวนลำดับถึงกิจการงานอาชีพความเป็นอยู่ของชาวบ้านเหล่านั้น ว่าเริ่มต้นระหว่างเดือน มีนา-เมษา จะต้องถางป่า ทำไร่แห้งแล้วจุดไฟเผา ขุดรากไม้หัวตอทำรั้วกั้น ฝนตกลงมาจะต้องนำพืชพันธุ์ต่างๆ ไปปลูกตามต้องการ พร้อมกันนั้นถ้าครอบครัวไหนคนไม่มากพอจะต้องแบ่งเวลาไปไถนาแลหว่านกล้าด้วย ทำอย่างนั้นเรื่อยไปจนกล้าจะแก่พอปักดำได้ แล้วก็ลงมือปักดำไปเลย

นี่พูดเฉพาะปีที่ฟ้าฝนตกดีเป็นปกติ ถ้าปีไหนแล้งก็จะต้องเสียเวลาและเสียหายมากไปอีกด้วยอีกส่วนหนึ่ง โดยมากแม่บ้านจะต้องเตรียมเสบียงไว้ให้เพียงพอ เป็นต้นว่า ข้าวสาร พริก เกลือ ปลาร้า ยาเส้น เมื่อลงมือทำนาแล้วจะไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องการแสวงหาเสบียง

การทำนานี้ปกติถ้าฝนฟ้าดี มักจะไปเสร็จเอาเดือนสิงหาคม หรือต่อเดือนกันยายน เมื่อเสร็จจากการปักดำแล้วต่างก็พากันหาเสบียงกรังไว้เมื่อยามเก็บเกี่ยวอีก นอกจากนี้ก็เตรียมเครื่องมือไว้จับปลาในหน้าแล้งต่อไป พอพระออกพรรษาก็เริ่มเก็บเกี่ยวข้าวนา บางทีก่อนเก็บเกี่ยวข้าวนาต้องไปเก็บเกี่ยวข้าวไร่ไว้ก่อนด้วย ในขณะเดียวกันนี้ยังมีการเก็บพืชผลของไร่เป็นต้นว่า พริก ฝ้าย และถั่วอีกด้วย สมัยเมื่อข้าวนายังดีอยู่ การเก็บเกี่ยวมักจะไปเสร็จเอาโน่น สิ้นเดือนมกราคมโน่น แล้วขนขึ้นยุ้งตอนต้นเดือนกุมภาพันธ์ ในขณะที่เก็บเกี่ยวอยู่นี้ ตอนกลางคืนจะต้องจักตอกสำหรับผูกฟ่อนข้าวไว้อีกด้วย เมื่อเสร็จจากการทำนาแล้ว ต่อนั้นก็ต้องหาฟืนต้มน้ำอ้อย

การต้มน้ำอ้อย ตอนบ่ายของทุกวันจะต้องเข้าสวนอ้อยตัดให้พอแก่การที่จะต้มในวันรุ่งขึ้น เมื่อตัดแล้วก็ต้องแบกขน ผู้มีเกวียนก็ใช้เกวียนเป็นพาหนะขนมาไว้ในโรงต้มน้ำอ้อย ตื่นเช้ามืดต้องออกไปหีบอ้อยจนกว่าจะแล้วเสร็จก็สายครันทีเดียว ถ้าคนไม่พอสายมากก็ต้องแบ่งกันมาทำอาหารไว้ท่า เสร็จจากหีบอ้อยแล้วก็รวมกันรับประทานอาหาร แล้วต่างก็แยกกันไปทำงานตามหน้าที่ของตน คงยังเหลือแต่คนเฝ้าหม้อน้ำอ้อยเท่านั้น บางเจ้ามีน้ำอ้อยมาก กว่าจะเสร็จก็ถึงเวลาเข้าป่าถางไร่อีกแล้ว

แหม คืนวันนั้นทำไมเราจึงมาทบทวนคิดลำดับการงานที่ผู้ใหญ่เขาทำอยู่ได้ละเอียดถูกต้องถี่ถ้วนนี่กระไร แล้วทำให้ใจเราหดหู่ สงสารในชีวิตของคนเราที่เกิดมา มันช่างไม่มีโอกาสและเวลาว่างเอาเสียจริงๆ เมื่อเกิดมาแล้วมีแต่การกระทำกับกระทำเท่านั้น จะต่างกันก็แต่หน้าที่และฐานะของแต่ละบุคคลเท่านั้น หากยังไม่นอนหลับหรือตายเสียแล้ว ก็จะต้องพากันทำอยู่อย่างนี้ร่ำไป ซึ่งมันตรงกันข้ามกับความคิดเห็นของเราที่กำลังเมาอยู่ในวัยเด็ก โดยคิดว่า แหม โลกนี้มันช่างสนุกเสียนี่กระไร เพราะเด็กในสมัยนั้นไม่มีการศึกษา และไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งหมด รับประทานแล้วก็มีแต่เที่ยวเล่นสนุกๆ ตามเพื่อน หากจะมีการเลี้ยงโคกระบืออยู่บ้างก็เป็นการสนุกของเขาไปเสียเลย

คืนวันนั้น เราเห็นความทุกข์ของมนุษย์ชาวโลกที่เกิดมาชัดด้วยใจของตัวเอง อย่างไม่เคยคิดและเห็นมาก่อนเลย แต่การเห็นความทุกข์ในครั้งนั้น เห็นแต่ว่ามนุษย์คนเราเกิดมาเป็นทุกข์ เพราะการหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ไม่มีเวลาว่างเว้นแต่ละวัน แต่หาได้รู้ไม่ว่า จะทำอย่างไร จึงจะพ้นจากทุกข์ทั้งหลายเหล่านั้นได้ จึงไม่ได้จัดเข้าในทุกขอริยสัจจ์ เป็นแต่ทุกขสัจจ์เฉยๆ

[จบ อัตตโนประวัติ หน้า 03 จาก 09]