66. กัลยาณมิตร

ธรรมเทสนา ชุด โอวาทหลังปาติโมกข์
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

การที่จะปกปิดความที่เป็นจริงของตนนั้น อันสิ่งใดมันผิดหรือถูกมันก็อยู่แค่นั้น เราไม่สามารถที่จะแก้ไขตัวเองได้ แล้วคนอื่นก็ไม่สามารถที่จะช่วยแก้ได้

๖๖. กัลยาณมิตร
วันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๑

ต้องเปลี่ยนวิธีใหม่ลองดู หัดภาวนาโดยเปลี่ยนอุบายหลายอย่างลองดู คำว่า “เปลี่ยน” ในที่นี้ก็ไม่ได้ เปลี่ยนอุบายอะไรหรอก เปลี่ยนวิธีฝึกหัด อยู่กับหมู่กับคณะให้รู้จักคบค้าสมาคมกับหมู่เพื่อน คุณงามความดีสิ่งไหนที่จะต้องเปิดเผยให้หมู่เพื่อนฟัง สนทนาปราศัยกันให้มันถึงอกถึงใจ ต่างคนต่างอยู่ต่างมีความรู้ความเห็น ต่างคนต่างปฏิบัติ ไม่ฝึกฝนอบรมถึงจิตถึงใจ ไม่พูดถึงเรื่องความจริง เราปฏิบัติเป็นอย่างไร มันต้องเผยแพร่ ความรู้อันนั้นเป็นเล่ห์เหลี่ยมเป็นมารยาไม่เป็นผลดี ไม่เป็นผลประโยชน์แก่ตนเลย ไม่เป็นผลประโยชน์แก่คนอื่นอีกด้วย

การที่จะปกปิดความที่เป็นจริงของตนนั้น อันสิ่งใดมันผิดหรือถูกมันก็อยู่แค่นั้น เราไม่สามารถที่จะแก้ไขตัวเองได้ แล้วคนอื่นก็ไม่สามารถที่จะช่วยแก้ได้ บางคนเข้าใจว่าตนดีกว่าคนอื่นแล้ว อันนั้นมันปิดหมด ความดีของเรามีอยู่เท่าไหร่ ก็มีอยู่แค่นั้นแหละ ไม่สามารถที่จะเจริญงอกงามได้ บางคนต่ำช้าเลวทราม ปัญญาไม่มี อุบายไม่มี ไม่เคยมาเปิดเผยให้หมู่เพื่อนฟัง ก็เลยไม่ได้ความรู้ยิ่งๆไปกว่านั้นอีก พวกนักปฏิบัติด้วยกัน มันต้องเปิดเผยความรู้ ความคิด ความเห็นแก่กันและกัน แล้วก็ต่างคนต่างได้อุบายได้ปัญญาซึ่งกันและกัน จากการแลกเปลี่ยนความรู้ความเห็นความเข้าใจนั้นๆ จะได้เปิดเผยแก่หมู่แก่คณะ ธรรมดาความรู้มันไม่เหมือนกันหรอกรู้อะไรละเอียดหยาบมันก็ไม่เหมือนกัน ทุกผู้ทุกคนมันมีผิดแปลกกัน

กัลยาณมิตร พระพุทธเจ้าทรงเทศนาว่า กัลยาณมิตรเป็นศาสนาพรหมจรรย์ทั้งหมด พระอานนท์ทูลว่า ข้าพระองค์พิจารณาแล้ว กัลยาณมิตรเป็นกึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์ โอ๊ย! ทำไม เราพูดอย่างนั้นหนอ กัลยาณมิตรน่ะ มันเป็นศาสนาพรหมจรรย์ทั้งหมด ท่านว่าอย่างนั้น ลองคิดดูถ้าไม่พูด ไม่คุย ไม่สนทนาปราศัยซึ่งกันและกันอย่างที่ว่านั่น อ้ำอึ้งอยู่เลยไม่รู้เรื่องรู้ราว ปกปิดมิดชิดเลย ความเลวความชั่วของตนก็ปกปิดมิดชิดไว้ มันก็กระเถิบต่อไป ครั้นหากเปิดความคิดความรู้ความเห็นอันนั้นเผยแพร่แก่คนอื่นก็ได้ชื่อว่าเผยแพร่พุทธศาสนา ความรู้ของตนรู้เท่าใดก็ได้ชื่อว่าเผยแพร่ศาสนา ความรู้ของตนน้อยก็ได้ชื่อว่าเผยแพร่น้อย ความรู้มากก็ได้ชื่อว่าเผยแพร่มาก อันนั้นเป็นศาสนาพรหมจรรย์โดยแท้

บวชเข้ามาได้ชื่อว่า บวชเข้ามาเป็นเพื่อนพรหมจรรย์ด้วยกัน อย่างหลวงพ่อ…ไม่อายใครหรอก เรียกว่าเปิดเผยหมด มีเท่าไรรู้อะไรเท่าไรแกเปิดเผยหมด นั่นละถ้านักปฏิบัติแท้มันต้องเป็นอย่างนั้น มันเข้าถึงจิตใจซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างคนละแบบไปต่างๆกัน ไม่ว่าทางธรรมะหรือว่าทางโลก ครั้นเปิดเผยซึ่งกันและกันแล้ว ความคิดความเห็นอันนั้นได้ชื่อว่า ไม่ระแวงแคลงใจซึ่งกันและกัน อันนี้ต่างคนต่างอ้ำอึ้ง ต่างคนตึงๆอยู่นั่น มันเลยบวชไม่สนุก บวชแล้วไม่มีการสนุก ถ้าหากว่าเป็นการสนุกก็สนุกเฉพาะบุคคลเราแต่ละคน อันที่สนุกเพลิดเพลินอันนั้น มันไม่มีธรรมะคบค้าสมาคมกันก็พูดคุยกันสนุกสนานถึงเรื่องในบ้านในเมือง เรื่องผู้หญิงยิงเรือต่างๆมันหลายเรื่อง มันเพลิดเพลินไปนั่น มันไม่เป็นเรื่องเป็นไปเพื่อความสงบมันเป็นไปเพื่อความหายนะ

เรามาปฏิบัติฝึกหัดมันต้องคิดถึงความบริสุทธิ์ของเรานั่นซี มันต้องมีความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ อยู่ในท่ามกลางหมู่เพื่อนก็ต้องมีความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ในที่วิเวกก็เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ เรียกว่าผจญต่อสู้ เราอดทนต่อสู้ทุกด้านทุกทาง บวชเข้ามาแล้วไม่ว่าอะไรทั้งหมด เย็นร้อน อ่อนแข็ง อดทนต่อสู้ทั้งนั้น อาหารการกินทุกสิ่งทุกอย่าง อารมณ์ต่างๆต้องต่อสู้

กัมมัฏฐานมีโวหารอันหนึ่งว่า “เหนือตาย” ปฏิบัติจนกระทั่ง “เหนือตาย” เอาตายไว้ข้างหลัง ยอมสละชีวิตกันอย่างเด็ดเดี่ยวจนเหนือตาย มันอดมันหิวมันไม่ถึงความตายหรอก มันตายแล้วก็ไม่ได้กินอะไรอีก มันต้องอดทนถึงปานนั้น ต่อสู้ความกลัว ความขลาดต่างๆ มันไม่ถึงตายหรอก บอกตนเองอย่างนั้นมันจึงหาย

ความกลัวทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องเหนือความตาย เอาความตายไว้ข้างหลังมันจึงค่อยเป็นไปได้ อย่าไปหวงอย่าไปรักมันเลยชีวิตอย่างนี้ เอาไว้ข้างหลังความตาย อะไรนิดๆหน่อยๆก็กลัวจะตาย กลัวจะไม่ได้ตายหลายหน กลัวจะไม่ได้ตายหลายครั้ง มันไม่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ มันไม่ชำระ มันไม่ถึงที่สุดของธรรมะ มันต้องเกิดๆตายๆนับครั้งนับหนไม่ถ้วน นับภพนับชาติไม่ถ้วน นั่นจึงว่าตายหลายครั้ง ครั้นหวงความตายรักความตายเอาไว้ตายหลายคราว

สละความตายแล้วเอาตายวันนี้ ถ้ามันเห็นตายวันนี้มันไม่ตายแล้ว ครั้นเอาจริงๆจังๆมันได้ความรู้ขึ้นมา ท่านว่า มันเลยไม่ตาย แล้วก็เห็นความจริง แล้วก็ไม่มีชาติอีก มันหมดภพหมดชาติ มันหายจากความตาย

ที่พากันไปเที่ยววิเวกก็เพื่อความต้องการความเด็ดเดี่ยว ต้องการทดลองใจของเรานั่นซี ไปแล้วก็ไปหาสนุกสนานเพลิดเพลินเสีย หาที่วิเวกสงบมันต้องหาที่ไปต่อสู้อันตรายต่างๆ ไม่เคยเห็นนักกัมมัฏฐานภาวนาตาย เกิดมาไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยินว่าตายเพราะภาวนา ยอมสละเด็ดเดี่ยวแล้วไม่ตาย แล้วได้ความรู้ซ้ำอีก ทีนี้มันไม่ถึงน่ะซี พวกเราพากันทำไม่ถึง ทำย่อๆหย่อนๆ ความรู้ย่อหย่อนมันเป็นเหตุให้ทับถมขึ้นทุกที อ่อนแอหมดทุกอย่าง กิเลสเข้าครอบงำไม่สามารถจะต่อสู้ได้ ท่านว่าความเพียรย่อหย่อน

เกิดมาไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยินว่าตายเพราะภาวนา ยอมสละเด็ดเดี่ยวแล้วไม่ตาย แล้วได้ความรู้ซ้ำอีก

[จบ โอวาทหลังปาติโมกข์ 66. กัลยาณมิตร]