56. พิจารณากิเลสของตน

ธรรมเทสนา ชุด โอวาทหลังปาติโมกข์
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

๕๖. พิจารณากิเลสของตน
วันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๑

วันนี้จะสอนให้พิจารณาถึงเรื่อง “กิเลส” ก็ไม่มีอะไรหรอก พิจารณาค้นคว้าหาตัว “กิเลส” นั่นแหละ กิเลสมันไม่ใช่อยู่ไกล อยู่ตื้นๆนี่แหละ แต่เราไม่มองดู ความขี้เกียจก็เป็นกิเลสตัวหนึ่ง ขี้เกียจไม่อยากศึกษาเล่าเรียน ขี้เกียจไม่อยากท่องบ่นจดจำ ขี้เกียจไม่อยากทำความเพียร ขี้เกียจทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นแหละเรียกว่าขี้เกียจทั้งหมด

ดูจิตของเรา มันขี้เกียจจะทำอะไร? มันขี้เกียจทั้งหมด นั่นแหละมันเป็นตัว “กิเลส” อันนั้นแหละเป็นสิ่งที่จะต้องละ เราไม่ต้องการอยากจะละน่ะซี ถ้ามันขี้เกียจก็ปล่อยตามมัน เลยนอนหลับซึมด้วยซ้ำ นั่นมันตัว “กิเลส” ใหญ่โตมโหฬาร

ตกลงว่าเราบวชไม่ใช่มาชำระกิเลส อยู่บ้านก็ไม่ชำระ มาอยู่วัดก็ไม่ชำระ อยู่ป่าก็ไม่ชำระ ไปวิเวกที่ไหนก็ไม่ชำระ ไปบ้านใดเมืองใดก็ไม่ชำระ กิเลสมันก็ตามไปอยู่ด้วย มันขี่คอเจ้าของอยู่นั่นแหละ เลยไม่เห็นตัวกิเลส มันข่มเราสนุกน่ะซี เราจะทำอย่างไรคราวนี้? เรามาบวชเพื่ออะไร มันไม่ใช่มาบวชเพื่อละกิเลส มาบวชเพื่อมานอนกินข้าวเฉยๆนี่อับอายขี้หน้าชาวบ้านชาวเมืองเขาบ้างซิ เขาเห็นพระเห็นผู้ดีผู้วิเศษ เขายกมือกราบไหว้บูชา แต่ตัวของเรากิเลสท่วมหัวอยู่ มันไม่ละกิเลสสักที มันละอายขายขี้หน้าตนเอง อย่าว่าไปอายขายขี้หน้าชาวบ้านชาวเมืองเลย ให้อับอายขายชี้หน้าตัวเองนั่น เราประสงค์ว่าจะมาบวชมาละกิเลส แต่มาเอากิเลสข่มหัวข่มคออยู่ ไม่มีการละ ไม่มีการถอนสักที

มันอยู่ในกายของเรานี่ มันไม่ได้อยู่ที่อื่นหรอก ไปวัดไหน บ้านไหน ไปอยู่ตำบลไหนก็ตาม กิเลสมันกอดคออยู่นี่ มันตามไปทุกบ้านทุกเมือง ทุกทิศทุกทางทุกหมู่ทุกเหล่านั่นแหละ ไปอยู่ในหมู่ไหนพวกไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ ครั้นไม่เห็นกิเลสตัวนี้แล้วก็ไปเถิด ไปไหนก็ไปเถิด ไปบวชที่ไหนก็บวชเถิด เป็นอะไรก็เป็นเถิด เป็นพระก็แล้วเป็นเณรก็แล้ว การศึกษาเล่าเรียนการท่องบ่นจดจำ มันควรที่จะจดจำท่องสวดมนต์ เราไม่รู้จักกิเลส เราก็มาจดจำท่องบ่นสวดมนต์ ดูตำรับตำรา มันก็เห็นกิเลส แต่มันไม่เข้าใจไม่เห็นกิเลส ดูก็ดูไปเฉยๆทั้งก็ฟังไปเฉยๆ ครั้นเทศนาให้ฟังนี่ก็เทศน์ให้ฟังไม่รู้จักจบจักสิ้นกันสักที เทศนาแต่เรื่อง “กิเลส” ของเก่านั่นแหละ ไม่มีเวลาที่จะได้พบได้เห็นตัวมันหรอก

ให้ท่องบ่นมนต์ก็ไม่เอาจดจำก็ไม่เอา การฟังภายนอกก็เพื่อฟังกิเลสนั่นแหละ ขอให้มาคิดดูว่าเราถูกหรือผิด ก็จดจำเอาไว้ซิ ไม่เข้าใจคำบาลีแล้วก็จดจำคำที่ท่านอธิบายไว้ในนวโกวาท เรียนมาแล้วก็จดจำไว้ ฟังพระท่านสวดปาฏิโมกข์ เลยอยากจะให้แต่แล้วเสร็จ อยากจะให้แต่จบขี้เกียจฟัง มันเบื่อธรรมะธัมโมหมด ตาเมินมองโน่น มองเพดานโน่นดูโน่นเพลิน แล้วมันจะเป็นสมาธิได้อย่างไร? มันจะเป็นธรรมะได้อย่างไร? ตาสำหรับรับรองกิเลส หูก็สำหรับรับรองกิเลส จมูก ลิ้น กาย ก็สำหรับรับรองกิเลส ตกลงเอาไว้สำหรับรับรองกิเลสทั้งหมดอวัยวะของเรา เราไม่รู้เท่ารู้เรื่องของมัน มันข่มคออยู่นั่นแหละ ตาเห็นก็เพลินไปตามรูป เพลินไปตามเสียง กลิ่น รส โน่นไม่เข้ามาพิจารณาตัวของเรา

ตามองเห็นรูปต่างๆสำหรับให้พิจารณาว่า มันดี มันชั่ว มันหยาบ มันละเอียดอย่างไร เลยไม่เอากลับเพลินตามอารมณ์ตามมันไปเลย มันก็นับวันแต่จะเพิ่มพูนขึ้นน่ะซี มาบวชมาเพิ่มพูนกิเลส มาบวชมันไม่มีการงานไม่มีธุระอะไร มีแต่นอนเฉยๆอยู่ ฉันอาหารก็เพลินตามเรื่องของมัน มันสนุก อยู่ในวัดในวาสนุกใหญ่โตเลย มันไม่ได้ประกอบกิจการงานอะไร มันมีแต่ฉันแล้วก็เพลินตามรส เห็นรูปก็เพลินตามรูป ตามเสียง ตามโผฏฐัพพะ ตามธรรมารมณ์ มันไม่มีการงานภาระอะไร

ฆราวาสเขามีการงานทำเพลิน ต้องหาอยู่หากินก็ไม่มีเวลา อันนี้เราไม่มีภาระการงานที่จะต้องประกอบอาชีพอย่างนั้นแล้ว ก็หลงเพลินตามอารมณ์ นั่นแหละ “กิเลส” มันเพิ่มพูนทวีคูณขึ้นทุกวัน มันไม่หมดเป็นหรอก ถึงมาบวช ๙ พรรษา ๑๐ พรรษา-๒๐ พรรษา-๓๐ พรรษา สึกออกไปกิเลสยิ่งเพิ่มพูนมากกว่าเก่าอีกซ้ำ ไม่เห็นกิเลสของตนมันก็ยิ่งสนุกเพิ่มพูน ถ้าเห็นกิเลสของตนมันก็รู้จักละอาย รู้สึกว่าตนเป็นพระมาบวชชำระกิเลส มาประกอบธุระกิจทางศาสนาเพื่อชำระจิตใจ เห็นดังนั้นแล้ว ก็ละอายตัว เกรงกลัวจะบาป มันก็ไม่เพลินละซี แต่นี่หูได้ยินเสียงจากภายนอกวัด ยิ่งส่งออกไปนอกวัดซ้ำอีก ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ เมื่อไรกิเลสมันจะหมดจะสิ้นไปเสียที ไม่ทราบว่าภพใดชาติใดมันจะหมด จะมาบวชเป็นพระนานๆไป มันก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นอีก เมื่อไรมันจะหมดไปสักที

ไม่คิดถึงชีวิตของตน เราเกิดมาเป็นคนในชาตินี้ มีชีวิตอยู่ถึงป่านนี้ก็ดีแล้ว ก็คอยแคะ คอยแกะ คอยกะเทาะกิเลสออกไป มันก็จะค่อยเป็นคนดีขึ้นมา อันนี้ไม่มีกะเทาะออกสักที มีแต่หุ้มห่อเข้าทุกวัน เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน มาเป็นพระยิ่งเพิ่มพูนมากมายขึ้นไปกว่าเก่า แล้วมันจะเป็นประโยชน์อย่างไร การบวช? บวชไม่มีประโยชน์ จึงว่า ยิ่งเพิ่มพูนโทษกรรมที่เราอยู่ในวัดในวา ในพระพุทธศาสนา แล้วยังไม่เห็นบุญคุณของพระพุทธศาสนาซ้ำอีก ยิ่งข้นหนักเข้าอีก เพิ่มพูนบาปขึ้นไปทุกวันๆ อาหารที่เราฉันไปทุกวันๆ หมดไปเท่าไหร่แล้ว ล้วนแต่ของเขาทั้งนั้น ล้วนแต่ของเขาให้ทำบุญทำทานมา คิดเป็นค่าราคาตั้งมากมายในวันหนึ่งๆ

คนไม่สำรวมระวังไม่มีการระวังทวารทั้ง ๖ มีแต่เพิ่มพูนบาปกรรม ผ้าผ่อนจีวร อาหารการฉัน บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานะเภสัช ปัจจัย ๔ อาศัยของชาวบ้าน อันนั้นท่านเปรียบเหมือนกับไฟ เหมือนกองไฟอันหนึ่งติดของร้อนก้อนแดงๆ กินก้อนแดงๆนั้น ดีกว่ากินอาหารของชาวบ้าน จริงกินก้อนถ่านแดงๆดีกว่า เพราะเรากินก้อนแดงๆเข้าไปในปาก กลืนลงไปไหม้ลำไส้ทะลุลงลำไส้ ตายแล้วหมดเรื่องไม่เป็นบาปเป็นกรรม ครั้นคนบริโภคอาหารของชาวบ้านนั่นซิ ทุกวันๆ วันหนึ่งมันก็เพิ่มพูนกิเลสขึ้นทุกวันๆ มันจะดีมีประโยชน์อะไร? มันก็ยิ่งกว่ากินก้อนถ่านแดงๆนั่นอีก ครั้นแสดงว่าไม่ได้ทำโทษให้แก่ใครตายแล้วก็แล้วไป อย่างนี้มันเพิ่มบาปบุญขึ้นทุกวันเวลา

ควรระลึกถึงตัวของตนบ้าง บวชเข้ามาแล้วควรที่จะระลึก ไม่คิดถึงความเสื่อมความสิ้น ก็คิดถึงชีวิตร่างกายที่เป็นอยู่ โดยเฉพาะชีวิตที่เป็นเรื่องของพระ โดยเฉพาะวัดนี้เป็นวัดกัมมัฏฐาน ใครๆก็ร่ำลือชื่อเสียงว่าวัดนี้เป็นวัดกัมมัฏฐาน เข้ามาอยู่ในวัดแล้วมาเป็นกัมมัฏฐานอะไร? มีกัมมัฏฐานอะไร? คิดถึงตรงนั้นซิ! เรามีกัมมัฏฐานอะไรประจำตัวอยู่บ้าง ทุกวันเราพิจารณากัมมัฏฐานอะไร? มันน่าอับอายขายหน้าตนเอง เอาละ

เราเกิดมาเป็นคนในชาตินี้ มีชีวิตอยู่ถึงป่านนี้ก็ดีแล้ว ก็คอยแคะ คอยแกะ คอยกะเทาะกิเลสออกไป มันก็จะค่อยเป็นคนดีขึ้นมา

[จบ โอวาทหลังปาติโมกข์ 56. พิจารณากิเลสของตน]