54. พิจารณาให้ถูกทาง

ธรรมเทสนา ชุด โอวาทหลังปาติโมกข์
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

ให้รวมลงไปได้ สมถะคือจิตรวม วิปัสสนาคือเห็นแจ้งรู้จริง เมื่อเห็นแจ้งรู้จริง มันก็รวมลงมาอยู่สงบ มันหมดหนทางไปมันก็รวม

๕๔. พิจารณาให้ถูกทาง
วันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๑

เราเกิดมาได้ชื่อว่าได้กัมมัฏฐานมาทุกคนแล้ว แต่ไม่รู้จัก เติบโตขึ้นมาจนกระทั่งบวชพระบวชเณร อุปัชฌาย์อาจารย์ท่านก็สอนมูลกัมมัฏฐานเบื้องต้นให้คือ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจฯ แล้วก็ยังไม่เข้าใจ ก็ไม่ทราบจะไปสอนอย่างไรกันอีก เรามีมาตั้งแต่ต้นก็ไม่รู้เรื่อง อุปัชฌาย์อาจารย์สอนให้ก็ไม่รู้เรื่อง เที่ยวแสวงหากัมมัฏฐานไปทุกหนทุกแห่งทุกสำนัก เข้าใจว่ากัมมัฏฐานอยู่สำนักนั้น สำนักนี้อยู่ที่โน่นที่นี่ เข้าไปหาก็ไม่เห็นกัมมัฏฐานอีกนั่นแหละ

ขอให้พิจารณากัมมัฏฐานในตัวของเรานี่ พิจารณาให้เห็นชัดจริง ให้เห็นเป็นอุสภะก็ดี ให้เป็นของปฏิกูลเปื่อยเน่าก็ดี เห็นเป็นของไม่ใช่ตนไม่ใช่ตัว ตัวของเราที่เกิดขึ้นมา ได้ชื่อว่ามาอาศัยเขาอยู่เฉย แท้ที่จริงมันเป็นธาตุ ๔ เป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ ต่างหาก ตัวของเราพอได้เป็นเครื่องอาศัยเฉยๆ ถ้าไม่เชื่อก็ลองดูซิ กายที่เรามาอยู่นั่น เราพึ่งพาอาศัยมันอยู่กับกายอันนี้ เวลามันจะเจ็บจะป่วย เวลามันจะล้มจะตายเราห้ามมันไม่ได้ มันก็ไม่ใช่ของเราน่ะซี เราควรที่จะเห็นชัดเห็นจริงอย่างนั้น ครั้นเห็นชัดเห็นจริงก็เป็นกัมมัฏฐานในตัว เป็นวิปัสสนาในตัว แล้วจะไปหาที่ไหนอีก

ปฏิบัติกัมมัฏฐาน คือปฏิบัติที่ตัวของเรา ที่กาย ที่ใจของเรานี้ เอาใจที่อยู่ในตัวของเรานี่ มาฝึกหัดปฏิบัติอบรมสั่งสอนกายของเรา ให้เห็นชัดเห็นจริงขึ้นมา แล้วจะไปเอาอันอื่นที่ไหน กัมมัฏฐานเรามีครบมูลบริบูรณ์อยู่ แต่เราไม่รู้เรื่องกัมมัฏฐานกรายกัมมัฏฐานไปเสีย มันสมจริงที่ภาษาเขาว่า กาย มันกรายไปจากตัวของเราไป มันไม่พิจารณาตัวของเรา มันพ้นจากตัวของเราไป

จะพิจารณาแยก ก็แยกธาตุ แยกขันธ์ แยกรูปแยกนาม พิจารณาอันใดมันก็แยกอยู่ในตัวนั่นเอง ธาตุ ๔ ก็แยกออกไปเป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ แยกออกไปจนกระทั่งเปื่อยเน่าปฏิกูล จนกระทั่งละลายเป็นธาตุลงตามเดิม พิจารณาแยกออกไปถึงขนาดลงสภาพตามเดิมแล้ว หมดเรื่อง อันผู้แยกก็ไม่รู้ซ้ำอีก ที่อาจารย์สอนให้แยกนั้นก็ไม่รู้ว่าแยกคืออย่างไร? เมื่อพิจารณากายแล้ว จิตมันก็แยกออกจากกายน่ะซีมันถึงจะพิจารณากายถูก ถ้ามันไม่แยกออกจากกายแล้วมันจะพิจารณาได้อย่างไร? ครั้นมันอยู่ในกายแล้วมันไม่เห็นกาย ไม่รู้กายหรอก กัมมัฏฐานมันอยู่ในตัวของเราหมดทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ไม่เห็นเฉยๆนี่แหละ จะหาอย่างไรมันถึงจะเห็นสอนก็ไม่เห็น พิจารณาก็ไม่รู้เรื่อง สมถะก็ไม่ทราบทำอย่างไร วิปัสสนาก็ไม่ทราบทำอย่างไร

สมถะ ก็คือความสงบ จิตยังไม่สงบจะเรียกสมถะได้อย่างไร? มันฟุ้งซ่านภายใน มันส่งส่ายไปมา ไม่เป็นสมถะสักที นานๆหนักเข้า สมถะก็ไม่ต้องเอาละ เอาแต่วิปัสสนาอย่างเดียว วิปัสนา ก็พิจารณาไปโน่น ไปภายนอกโน่น ทางวิทยาศาสตร์โน่นไปเห็นสิ่งต่างๆภายนอก ไม่เอาภายในตัวของเรา พิจารณาส่งส่ายไปตามเรื่อง เข้าใจว่าเป็นวิปัสนา อันที่จริงไม่ใช่วิปัสนาหรอก มันเป็นวิปัสนึก นึกเอาว่าเป็นวิปัสนาๆ แต่มันไม่เห็นแจ้งเห็นจริงน่ะซี จะเป็นวิปัสนาได้อย่างไร? มันเห็นแจ้งเห็นจริงจิตมันก็ “อยู่” น่ะซี มันจะไปไหน เห็นแจ้งเห็นจริงเข้ามาในตัวนี่เลย อันนี้ไม่มีเข้าในตัวเลย มีแต่ส่งออกไปข้างนอกโน่น พิจารณาไปๆสิ่งทั้งปวงหมด ค้นคว้าส่งส่ายไปตามปริยัติ แต่ตัวเองไม่เห็นตัวของเรา ครั้นเห็นเป็นจริงแล้วมันไม่ไปไหนมันหมดทางแล้ว มันเข้าไปอยู่ในสมถะ มันเข้ามาอยู่ในใจนี่ ทีนี้มันไม่เห็นจริงน่ะซีมันจึงไม่สิ้นสุด มันกว้างขวางออกไป วิปัสสนาที่ไม่มีที่สิ้นสุดมันจะเป็นวิปัสสนาได้อย่างไร?

พระพุทธศาสนาสอนมีที่สุดที่สิ้น มันถึงค่อยถูก สอนพิจารณาถึงเรื่องธาตุพิจารณาไปถึงเรื่องธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ พิจารณา ดิน น้ำ ลม ไฟ กระจัดกระจายไปสารพัดทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนแต่เป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ สิ่งทั่วประเทศมันอยู่ในขอบเขตดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อมันไม่มีที่ไปแล้วมันก็วาง จิตมันก็รวมอันนั้นมันจึงค่อยถูก พระพุทธศาสนาสอนมีที่สิ้นที่สุด จึงเรียกว่าถึง มรรค ผล นิพพาน ครั้นไม่มีที่สิ้นสุด จะถึง มรรค ผล นิพพาน ได้อย่างไร? ขอให้เข้าใจตรงนี้

จะไปสำนักไหนก็ไปเถิด ไปหาอาจารย์ไหนก็ไปเถิด ถ้าไม่มีที่สิ้นสุดแล้วไม่ถูกทั้งนั้นแหละ ของที่สิ้นที่สุดแล้วมันหมดที่ไป มันมีที่สิ้นที่สุดแล้วรวมลงมา จิตรวมลงมาแล้วบางคนเข้าใจว่าจิตไม่มีปัญญา ไม่มีปัญญาอย่างไร? มันพิจารณาไปหมดที่สิ้นที่สุดแล้ว มันจึงค่อยรวมลงมา ถ้าพิจารณาไปแล้วจิตไม่รวม ก็พิจารณาเรื่อยไปไม่มีขอบเขต

พิจารณาเรื่องจิต พิจารณาเรื่องใจ นั่นแหละ ให้มันสงบอยู่ เมื่อมันไม่สงบพิจารณาไปมันก็เตลิดเปิดเปิงไป มันไม่หยุดไม่สิ้นสุด ถ้าพิจารณารวมลงไปได้นั่นมันจึงค่อยถูกหนทาง พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนแต่ก็ไม่เข้าใจ พากันหลงใหลไปตามอาการ ไม่เข้าใจความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ทรงสอนให้รวม ให้รวมลงไปได้ สมถะวิปัสนาท่านก็สอนอยู่ สมถะคือจิตรวม วิปัสนาคือเห็นแจ้งรู้จริง เมื่อรู้แจ้งเห็นจริง มันก็รวมลงมาอยู่สงบ มันหมดหนทางไปมันก็รวม อันนั้นมันจึงค่อยถูกหนทาง

พระพุทธศาสนาสอนมีที่สิ้นที่สุด จึงเรียกว่าถึง มรรค ผล นิพพาน ครั้นไม่มีที่สิ้นสุด จะถึง มรรค ผล นิพพาน ได้อย่างไร? ขอให้เข้าใจตรงนี้

[จบ โอวาทหลังปาติโมกข์ 54. พิจารณาให้ถูกทาง]