44. วันปวารณา
ธรรมเทสนา ชุด โอวาทหลังปาติโมกข์
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
๔๔. วันปวารณา
วันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๙
คำปวารณาแทนอุโบสถสังฆกรรม ปวารณานั้นเป็นเนื้อความย่อๆ แต่หากที่จริงกินความลึกซึ้ง หมายความว่าปรารถนาซึ่งกันและกัน ในเมื่ออยู่ตลอดไตรมาส ๓ เดือน แล้วทุกๆคนที่อยู่ด้วยกันปวารณาซึ่งกันและกัน ผู้น้อยตลอดถึงผู้ใหญ่ทั่วถึงกันหมด มีเสมอภาคกัน ให้โอกาสที่จะต้องว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกัน โดยความเอ็นดู ด้วยความเมตตาปรารถนาหวังดี คนที่ถูกตักเตือนว่ากล่าวก็ต้องยอมรับสารภาพว่า เราจะต้องทำตาม จึงว่ามีความกว้างขวางยิ่งกว่าปาฏิโมกข์ ที่สวดปาฏิโมกข์ไม่ได้ถ้อยได้ความฟังพอเป็นประเพณีธรรมเนียม แต่การปวารณานี้กินความหมดตลอดทุกเรื่อง
ความเป็นจริงคนเราอยู่ด้วยกัน มันต้องมีเรื่องกระทบกระเทือนกันโดยคำพูด วาจาที่เราเปลงออกไปด้วยเจตนาก็มี ด้วยความไม่เจตนาก็มี จึงว่าให้อโหสิกรรมซึ่งกันและกัน จะได้อยู่เย็นเป็นสุข คนที่ไม่ได้ให้อโหสิกรรมกันนี่ ผูกพยาบาทอาฆาตซึ่งกันและกัน อยู่ไม่เป็นสุขเดือดร้อนทั้งตนและคนอื่น จึงว่าอยู่ด้วยกันตลอดไตรมาส ๓ เดือน ต่างคนต่างมาจากจตุรทิศทั้ง ๔ และมีอาชีพต่างกันมีนิสัยต่างกัน มีความเห็นต่างกัน ซึ่งจะลงรอยกันไม่มีหรอก ความเห็นความคิดความอ่านมันจะเป็นอย่างเดียวกันหมดไม่ได้ ความอดความทน อดทนต่อคำพูดวาจาที่กระทบกระทั่ง บางทีมีเจตนาก็มี บางทีไม่มีเจตนาก็มีด้วยความพลาดพลั้ง ความประสงค์อันเดียวกันแต่ว่าคำพูดมันต่างกัน
เช่นว่า ประสงค์จะแจกอาหารให้พระทุกองค์นั่นแหละ ให้มันเสมอภาคกันหมด แต่บางองค์นั้นมันไม่ถูกใจ อาหารนั้นมันไม่ถูกโรคของเรา ก็เลยเห็นอาหารที่เขาเอาให้เรา ก็หาว่าเขาแกล้งไปเสียอีก อย่างนี้แหละ เรื่องมันไม่ถูกกัน ที่มันจะเกิดเรื่องทะเลาะกันก็เพราะเหตุนั้นนั่นแหละ อันนั้นมิใช่มีเจตนาหรือความพลั้งเผลอ โดยการที่พลั้งเผลอพูดเล่นพูดล้อกันไป อาจจะเป็นเครื่องกระทบกระเทือนกันก็มี การที่มีเจตนา ตั้งเจตนาที่จะพูดเหยียดหยามดูถูกเสียดสีซึ่งกันและกันก็มี นั่นมีอีกอย่างหนึ่ง แต่ว่าในเรื่องเหล่านั้นให้รู้จักด้วยตนเอง
ทุกๆคนมาบวชในศาสนา ตั้งใจที่จะเห็นจิตเห็นใจของตนเอง พยายามที่จะให้เห็นจิตเห็นใจของตนเอง ใจของเราให้มันตั้งมั่นแน่วแน่อยู่คงที่วางเฉยเสียก่อน คำพูดของคนอื่นพูดมา เราจะรู้จักว่าคนนั้น พูดถูกพูดผิด พูดดีพูดชั่ว พูดหยาบละเอียด รู้จักเลย จิตเราจะไม่กระเทือน ถ้าจิตไม่ตั้งเป็นหนึ่งเป็นเอกัคตาเสียแล้ว คือใจไม่เป็นอย่างที่ผมเล่าให้ฟัง จิตจะมองในแง่ผิด ใครพูดอะไรก็คอยแต่จะว่าเขาว่าผิดหมด พูดอย่างไรๆก็เห็นแต่แง่ผิดทั้งนั้น ตรงกันข้ามกับคนที่มีนิสัยไม่อิจฉาพยาบาท ไม่มีใจอิจฉาเบียดเบียนใคร มีเมตตาไปหมดเสมอภาคทุกคน พูดดีพูดชั่วอะไรก็เฉยเลย เห็นเป็นการดีทั้งหมด มันตรงกันข้ามกับภาษาของเขา ที่เขาพูดตามตลาด ที่เขาพูดตามบ้านตามเมืองว่า “รักกันแล้วถึงจะว่าชั่วก็เป็นดี ถ้าเกลียดโกรธกันแล้วถึงจะว่าดีก็เป็นชั่ว” คำนั้นไม่มีผิด ตรงหมดทุกสิ่งทุกอย่าง
เราบวชเข้ามาเป็นสมณะพระเณร ได้ชื่อว่าเป็นศากยวงศ์ เป็นวงศ์ของพระพุทธเจ้า เป็นผู้อดทน การถือเกลียดถือโกรธกันเล็กๆน้อยๆไม่มีประโยชน์อันใดเลย ตนเองก็ไม่ได้ประโยชน์ คนอื่นก็ไม่ได้ประโยชน์ มันจะทำอะไรได้ ความโกรธกัน ความอิจฉากัน ความริษยากัน มีแต่ระแวงซึ่งกันและกัน ก็เลยไม่มีดีสักอย่างเดียว ไม่เห็นประโยชน์เลย ถ้าหากว่าความหวังดี มีความปรารถนาดีเมตตาแก่กันและกัน พูดดีก็ดี พูดชั่วก็ดี ถือเป็นการดีทั้งหมด แล้วย่อมเป็นประโยชน์ คนที่โกรธให้เราก็สามารถที่จะทำตัวดีได้ คนที่โกรธถ้าเราอดทนอดกลั้นคำพูดอย่าไปพูดเสีย เรื่องอันเป็นเหตุจะให้โกรธกัน อดกลั้นยับยั้งไว้หน่อยมันก็หาย ครั้นถ้าหาถือโกรธเขาอยู่ตลอดเวลา ทุกหมู่ ทุกพวก ทุกเหล่า ทุกผู้ ทุกคน ความโกรธความแค้นอะไรต่างๆก็ดี มันไม่ใช่จะอยู่จีรังถาวรอะไร เรามาบวชเป็นพระยิ่งร้ายกว่าชาวบ้านเสียอีก ชาวบ้านเขาอยู่เขาโกรธกันแต่เขาก็อยู่ด้วยกันได้ อย่างสามีภรรยาทะเบาะกันวันยังค่ำ แต่เขาก็อยู่ด้วยกันได้
เรามาบวชในวินัยคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็มาคิดถึงตัวของเราตั้งแต่ตื่นมา ตั้งแต่เรามาบวชในศาสนา ผ้าก็ผิดจากฆราวาส เพศก็ผิดจากฆราวาส อะไรๆการอยู่การฉันผิดจากฆราวาสหมด แล้วเขานิยมนับถือว่าเป็นผู้ดี เป็นผู้สงบเรียบร้อย ถ้าภายในเรามาโกรธมาเกลียดมาพยาบาทกัน มันน่าอายเหลือเกิน มันไม่สมกับเป็นสมณะสักนิดเดียว ควรระวังอย่างยิ่ง
จึงว่า การปวารณาเป็นเหตุตักเตือนซึ่งกันและกัน เป็นเหตุให้สงบเรียบร้อย ถ้าหากว่าถือตามคำปวารณานั้น จะอยู่ใกล้อยู่ไกลอยู่ในสถานที่ใดทั้งหมด ทำปวารณาในที่นี้แล้ว ไปที่อื่นอยู่ที่อื่นเห็นกันที่อื่น ก็ว่ากล่าวตักเตือนกันได้
การว่ากล่าวตักเตือนกันมันต้องรู้จักประมาณ รู้จักกาล รู้จักเวลาพอประมาณ สมควรหาโอกาสหาเวลา อย่าพูดหักโหมกันมันไม่เป็นประโยชน์ ข้อใหญ่ใจความนั้นหมายความว่า สิ่งใดที่จะเป็นไปเพื่อความสามัคคีให้รักษาสิ่งนั้นไว้ได้เป็นการดีมาก สิ่งใดที่จะเป็นการทะเลาะวิวาทกันอย่าพูดอย่าทำ เรื่องนั้นจึงจะสมควรแก่การเป็นสมณสารูป
คราวนี้ เรื่องต่างๆมีเรื่องอะไรนิดๆหน่อยๆโผล่ออกมา โปออกมาหมดทุกสิ่งทุกอย่าง มันกระเทือน และไม่ใช่กระเทือนด้วยตน คนอื่นก็กระเทือน เตือนคนนั้นไม่ใช่ว่ามันจะดีเรื่อยไป ตนเองไม่ตรวจไม่พิจารณาไม่ตรึกตรองเสียก่อนพูดออกไป มันเป็นความเสียหายในการพูดออกไป มันเสียมากสักเท่าไรล่ะนั่นน่ะ จึงควรให้ระวังสังวรทุกอย่าง
ปวารณานั้นเป็นเนื้อความย่อๆ แต่หากที่จริงกินความลึกซึ้ง… ให้โอกาสที่จะว่ากล่าว ตักเตือนซึ่งกันและกัน โดยความเอ็นดู ด้วยความเมตตาปรารถนาหวังดี
[จบ โอวาทหลังปาติโมกข์ 44. วันปวารณา]