43. โอวาทวันเข้าพรรษา
ธรรมเทสนา ชุด โอวาทหลังปาติโมกข์
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
เมื่อเข้าพรรษาแล้ว หมายความถึงว่า พระไม่ให้ออกไปเที่ยวที่อื่นไกลนอกขอบเขตที่อยู่จำพรรษา แล้วท่านมีกฎกติกาตั้งไว้ให้มีการศึกษาเล่าเรียนปฏิบัติข้อวัตรต่างๆ
๔๓. โอวาทวันเข้าพรรษา
วันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๙
การคารวะ ผู้มาคารวะซึ่งกันและกัน มันเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม อภิวาทนสีลิสฺส นิจฺจํ วุฑฺฒาปจายิโน คืออ่อนน้อมเคารพนับถือซึ่งกันและกัน กราบไหว้ซึ่งกันและกัน พระผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้เป็นหัวหน้าเป็นที่เคารพนับถือของพระผู้น้อย ผู้หลักผู้ใหญ่ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นที่เคารพของลูกของหลาน เป็นการดีที่รักษาประเพณีอันนี้ไว้ อย่าให้เสื่อมสูญไป แต่ทำให้ทำจริงๆไม่ทำเล่น เคารพจริงๆนับถือจริงๆมันจึงเป็น อภิวาทนสีลิสฺส นิจฺจํ วุฑฺฒาปจายิโน มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ ยืนนานได้ เพราะเหตุที่มีความเคารพนับถือซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ว่าหน้าไหว้หลังหลอก
อภิวาทนสี คือเคารพกราบไหว้บูชาซึ่งกันและกัน ประเดี๋ยวเถอะทะเลาะวิวาทกันแล้ว ไม่เคารพนับถือซึ่งกันและกัน ดูถูกเหยียดหยามซึ่งกันและกัน มันไม่เป็นมงคล การเป็นมงคล คืออยู่เป็นสุข จึงเรียกว่ามงคล การทะเลาะวิวาทกันไม่ใช่สิ่งที่เป็นมงคล มีความอดทนอดกลั้นในระยะเข้าพรรษา ถึงเราไม่ได้มากก็ยังดี ๓ เดือนนั้น อดกลั้นอดทนได้เป็นดีที่สุด ไม่ใช่เพื่อประโยชน์คนอื่น เพื่อประโยชน์ตนเองนั่นเอง คนใดเป็นคนมีความอดทน พยายามอดกลั้นไว้ไม่ให้ความโลภไม่ให้ความโกรธเกิดขึ้น ไม่ดูถูกเหยียดหยามซึ่งกันและกันเป็นการดี
คราวนี้เป็นเรื่องของพระสงฆ์ที่จะจำพรรษา เมื่อเข้าพรรษาท่านต้องให้มีขอบเขตจำกัด มีกุฏิวิหารเป็นเครื่องอยู่ มีเสนาสนะเป็นเครื่องอาศัย แล้วก็กำหนดขอบเขตจำกัด คือวัดเรามันก็มีขอบเขตอยู่แล้ว อย่างที่มีรั้วมีกำแพงรอบคอบแล้วนั่นน่ะเป็นเขตแดนของเรา เมื่อมีเขตแดนจำพรรษาแล้วไม่ให้ออกนอกเขตนั้น คำว่า “ไม่ให้ออกนอก” นั้นน่ะ หมายความว่าไม่ให้ไปจนสว่างนอกเขตแดน จำพรรษาที่ใดแล้วให้อยู่ภายใน ถึงจะไปนอกกำแพงไปนอกวัดก็ช่าง ให้เข้ามาในขอบเขตวัด ให้ถืออรุณ อรุณหมายความถึงเรื่องแสงสว่าง ตอนเช้าๆเรามองแสงสว่างเห็นฟ้า อากาศปลอดโปร่งดี แสงอรุณนั้นหมายความถึงแสงสว่างขึ้นมา พอเป็นแสงเงินแสงทองนั่นแหละจัดเป็นวันใหม่ ถ้าหากว่าอากาศมันมืด สิ่งที่สังเกตง่ายก็คือนก มันร้องทวิๆขึ้นมาแล้วละก็ นั่นล่ะเป็นวันใหม่ หรือจิ้งจกมันร้อง อันนั้นเป็นวันใหม่แล้วเป็นที่สังเกตเห็นได้ ถ้าตะวันไม่ปรากฏแสงอรุณไม่ปรากฏ ก็สังเกตอันนั้นล่ะ เอานกเอาจิ้งจกนั่นแหละเป็นเครื่องวัด
อรุณคือวันใหม่ เป็นวิธีกำหนดหลายอย่าง คือว่าอรุณขึ้นมาเป็นวันใหม่แล้วนั้น ฉันอาหารก็ได้ไม่เป็นวิกาล รักษาผ้าครองก็ได้ ผ้าไตรจีวรรักษาอย่าให้ห่างไกลจากตัวเรา ครั้นอยู่ปราศจากจีวรนั้นท่านปรับเป็นอาบัติ ถ้าเราเอาออกไปด้วยติดตัวไปด้วยมันไม่เป็นไร จนอรุณขึ้นมาแล้วจึงค่อยอยู่ปราศจากจีวร
ฉันอาหารก็กำหนดเอาอรุณ อยู่พรรษาก็กำหนดเอาอรุณ รักษาผ้าไตรจีวรก็กำหนดเอาอรุณ อรุณนั้นเป็นของสำคัญ ตลอดถึงอยู่ปริวาสก็ตามก็หมายเอาอรุณเหมือนกันอันนี้เรียกว่าอยู่จำพรรษา อยู่ในเขตจำพรรษาไม่ให้หนีจากเขตนั้น ไม่ให้อรุณสว่างล่วงแล้ว คือเราอยู่เขตจำพรรษาไม่ให้ไปสว่างข้างนอกวัด เอาอรุณเป็นเกณฑ์เป็นเขต ถ้าหากเราไปข้างนอกโน้นก็ดี อย่าให้มันอรุณสว่างอยู่ข้างนอกโน้น ให้กลับเข้ามาอยู่ภายใน มันก็ไม่เป็นอาบัติ นอกจากเรื่องอรุณแล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้วเท่านั้นละ เรียกว่าวิธีอยู่จำพรรษา
นอกจากนั้นอีก เมื่อเข้าพรรษาแล้ว หมายความถึงว่า พระไม่ให้ออกไปเที่ยวที่อื่นไกลนอกขอบเขตที่อยู่จำพรรษา แล้วท่านมีกฎกติกาตั้งไว้ให้มีการศึกษาเล่าเรียนปฏิบัติข้อวัตรต่างๆ กิจวัตรทั้งปวงทั้งหมดให้รีบเร่งทำในกลางพรรษา เราอยู่จำพรรษาไม่ได้ออกไปเที่ยวไหน ก็หมายความว่าให้ศึกษาเล่าเรียนปริยัติและปฏิบัติ ทั้งสองอย่างนั่นแหละเป็นคู่กันไป
ปริยัติ คือการศึกษาตามตำรับตำรา ปฏิบัติ คือการปฏิบัติฝึกหัดกัมมัฏฐาน มันต้องเป็นคู่กันไปอย่างนั้น ถ้าหากเรียนแล้วไม่ปฏิบัติ มันก็ไม่เข้าใจ ปฏิบัติอย่างเดียวไม่มีการเรียนเลย มันไม่รู้เรื่องของปริยัติ อาบัติโทษต่างๆก็ไม่รู้เรื่องว่าผิดหรือถูกงมๆงายๆ เหตุนั้น การศึกษาเล่าเรียนแล้วปฏิบัติไปพร้อมนั่นน่ะ มันจึงชัดเจนชำนิชำนาญคล่องแคล่วเข้าอีก อย่างวัดเราได้มีการปฏิบัติทุกปี ตั้งแต่เป็นมาตั้งแต่มาอยู่วัดนี้ มีการศึกษาเล่าเรียนแล้วการปฏิบัติไปตาม รู้สึกว่าการสอบนักธรรมอะไรต่างๆได้ดีกว่าทุกแห่ง เพราะเหตุการปฏิบัติและมีการปริยัติไปด้วยมันค่อยชำนิชำนาญ การที่ได้เข่ามาบวชในพระพุทธศาสนาให้ศึกษาให้เข้าใจ แล้วปฏิบัติไปพร้อมๆกัน จึงจะไม่เสียเวล่ำเวลา ไม่ให้เสียในการที่ได้มาบวช
ตั้งใจบวชจริงๆอย่างโบราณท่านว่า “บวชเรียนเขียนอ่าน” แต่ก่อนมันไม่มีโรงเรียน ครั้นบวชมาก็มาศึกษาเล่าเรียนจนอ่านออกเขียนได้ ฝึกใช้การได้งานได้นั่นแหละ “บวชเรียนเขียนอ่าน” โบราณท่านว่าไว้ เดี๋ยวนี้เราเรียนมาแล้วแต่ยังไม่เข้าใจในธรรมวินัยให้ตั้งใจเรียนธรรมวินัยอีก ละเลยมานานธรรมวินัยไม่ค่อยเอาใจใส่ จึงพากันเลอะเทอะหมด มาเดี๋ยวนี้รัฐบาลท่านจึงค่อยเข้มแข็งขึ้น ให้ศึกษาเล่าเรียนในธรรมวินัยให้ยิ่งๆขึ้น จึงค่อยลืมหูลืมตาขึ้นมาหน่อย เรามาบวชเราก็ตั้งใจเรียนในเวลาที่มาบวชอยู่นี่
ให้เข้าใจถึงเรื่องศาสนา เรียนไปปฏิบัติไปจึงค่อยเข้าใจ คนนอกๆได้แต่เรียนไม่ได้ปฏิบัติจึงเข้าใจเผินๆ ไม่เข้าใจลึกซึ้งในศาสนา ศาสนาเป็นของลึกซึ้งมาก ละเอียดละออมาก ยิ่งเรียนยิ่งปฏิบัติยิ่งลึกซึ้งเข้าไป การเรียนในศาสนามันไม่มีที่สิ้นสุด มันลึกซึ้งลงไปเป็นลำดับ ในการที่มาบวชจึงสอนให้ศึกษาเบื้องต้น ให้ทำวัตรสวดมนต์ให้มันได้เสียก่อน แล้วก็ให้รู้จักสิกขาบทเล็กๆน้อยๆ สวดมนต์สวดพรกราบขมาสมควรแล้วค่อยบวช อันนี้มันมีประโยชน์มาก
เดี๋ยวนี้มาบวชเพราะไม่ได้เรียนอะไรก็เลยมาบวช แม้แต่คำขานนาคก็ยังไม่ได้ด้วยซ้ำบางองค์ พอบวชแล้วมันมีการศึกษาต่อมีเรียนนักธรรมต่อไป ก็ไม่มีโอกาสจะได้เรียนเสียแล้ว พอจบพอออกพรรษา ยังไม่ได้สอบนักธรรมด้วยซ้ำบางที พอดีสึก เลยมันไม่มีประโยชน์อะไรหรอก การบวชมาเรียนนั้นรู้ซึ้งสุขุมมาก แต่เวลาสึกไปแล้วทิ้งหมด การบวชมีประโยชน์ ถึงได้แล้วพอออกไปมันก็ลืมหมดของพรรค์นั้น มันมัวแต่ไปลุ่มหลงมัวเมาในธุระกิจการงานต่างๆ มันไม่มีการเล่าเรียนไม่มีการศึกษาต่อ ของเก่าก็เลยเสื่อมสูญไปหมด
จึงว่าน่าเสียดายผู้บวชมา แต่ถึงกระนั้นก็ยังดีอยู่ ยังพอเป็นแนวคิดแนวอ่านพอฝันๆได้ พอเป็นความฝันได้ มาเล่าความฝันได้ก็ยังดีอยู่
ให้เข้าใจถึงเรื่องศาสนา… ศาสนาเป็นของลึกซึ้งมาก ละเอียดลออมาก ยิ่งเรียน ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งลึกซึ้ง…เข้าไปเป็นลำดับ
[จบ โอวาทหลังปาติโมกข์ 43. โอวาทวันเข้าพรรษา]