35. สิ่งที่หลอกลวง

ธรรมเทสนา ชุด โอวาทหลังปาติโมกข์
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

๓๕. สิ่งที่หลอกลวง
วันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๒๘

สิ่งที่ไม่จริงของเขาเรียกว่าของสิ่งหลอกลวง วันนี้จะเทศน์ “สิ่งหลอกลวง” ให้ฟัง ของโลกนี้ทั้งหมดไม่ใช่ของจริงสักอย่างเดียว ไม่มีของจริงสักอย่างเดียว

ท่านจึงเรียก สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาทั้งหมด คือหมายถึงเรื่องโลกทั้งหมดเป็นอนัตตานั่นเอง สิ่งใดที่เราเข้าใจว่าเป็นของตนของตัวสิ่งใดที่เข้าใจว่าอันนั้นอันนี้อะไรต่างๆ เป็นของเราของเขานั้น อันนั้นคือความยึดถือต่างหาก ความเป็นจริงแล้วไม่มีสักอย่างเดียว ดูเข้าซิ ตัวของเราใครๆก็นับถือ ทุกคนนับถือว่าเราว่าเขา แต่แท้ที่จริงแล้วให้พิจารณาแยกแยะออกเป็นสัดเป็นส่วน ตกสภาพเป็นธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ เป็นสภาพของธาตุทั้งหมดไม่มีอะไรเหลือหรอ

ธาตุนั้นๆ ใครเป็นเจ้าของ? ไม่มี ธาตุอันนั้นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นธรรมดาอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา จึงว่าไม่ใช่ของตน ไม่ใช่ของตัว แต่เรายังลุ่มหลงมัวเมาว่าเป็นของตัวอยู่เรื่อยไป

ครั้นเมื่อหลงของเราแล้ว คราวนี้มันก็หลงของคนอื่น ตา เห็นรูปก็ไปหลงกับรูป หู ได้ยินเสียงก็ไปหลงตามเสียง จมูก ถูกกลิ่น ลิ้น ถูกรส กาย ถูกสัมผัส ก็เข้าใจว่าเป็นของตนของตัว แท้ที่จริงสิ่งทั้งหลายนั้นเป็นแต่เพียงสัมผัสกันเฉยๆ สัมผัสกันทีหนึ่งรู้แล้วก็หายไป สัมผัสกันรู้แล้วก็หายไป เช่น ตาเห็นรูป เป็นต้น เห็นนั่นแหละก็สักแต่ว่าเห็น มันกระทบขึ้นมารู้สึกว่าเห็นเท่านั้นแหละ แล้วอันผู้รู้สึกว่าเห็นนั้นหายไป

แล้วทีนี้เหลือแต่สัญญาความจำ ความจำว่ารูปเป็นอย่างนั้น เสียงเป็นอย่างนั้น มันก็เลยจำไว้ สังขารก็ปรุงแต่งต่อไป ไปตลอดถึงกิเลสทั้งหลาย ที่เกิดขึ้นมาจากความปรุงแต่งนั่นแหละ เพราะเหตุที่เห็นว่าเราเห็น คิดว่าของเรา มันไม่ใช่ของเรา ผู้เห็นนั้นต่างหาก ผู้เห็นนั้นน่ะไปเห็นเข้าแล้วก็เพียงแต่มายึดเฉยๆ ครั้นถ้าไม่ยึดเห็นแล้วมันก็หายไป

อันความยึดนั่นแหละ หมายมั่นตั้งใจอยู่ หมายมั่นปั้นมืออยู่ ความหมายมั่นปั้นมือนั่นแหละปรุงแต่งสารพัดทุกอย่าง อันรูปสวยรูปงาม รูปไม่สวยไม่งาม รูปขี้เหร่ขี้ร้าย รูปอย่างนั้นอย่างนี้ พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงไปด้วยประการต่างๆ แต่ว่ารูปอันนั้นมันก็ไม่เป็นไปตามมติของตน คิดนึกเปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไร สภาพมันก็เท่าเก่าของมันอยู่จะเปลี่ยนแปลงไป ยักย้ายไปอย่างใดก็ตามเถอะ ความคิดคำนึงของเรายักย้ายเปลี่ยนแปลงไปต่างหาก แต่รูปของมันก็อยู่คงที่ ก็เป็นไปตามเรื่องของมัน อันนี้เรียกว่ารูปมันเป็นเหตุ ตาเห็นรูปแล้วมันหลอกลวงเรา มันหลอกลวงให้เราลุ่มหลงมัวเมา

คนในโลกมันหลงอยู่ด้วยประการอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ทุกคนเลยให้หลงอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา ตั้งแต่เกิดมาโน่นล่ะ เมื่อตายไปก็ถือว่าเป็นของตนของตัวอยู่เรื่อยไปแม้จะชำรุดทรุดโทรม มันเปลี่ยนแปลงไปด้วยประการต่างๆ ก็ถือว่าเป็นของตนของตัวเรื่อยไป ความถืออันนั้นมั่นคงอยู่ตลอดเวลา โลกอันนี้จึงค่อยมีอยู่

ความถืออันนั้นแหละเป็นต้นเหตุให้มีโลก โลกอันนี้มันเกิดขึ้นมาจากความถือ ครั้นไม่ถือเสียแล้ว มันก็ลบล้างไปหมดทุกสิ่งทุกประการ ไม่เหลือหรอในจิตในใจของตน อันนี้เราเรียกว่าลบล้างไปไม่มียึดไม่มีถือ ของอันนั้นไม่เป็นตนไม่เป็นตัว จึงว่าเห็นก็สักแต่ว่าเห็น รู้ก็สักแต่ว่ารู้ ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยินได้ฟัง ไม่เป็นเรื่องเป็นราวต่อไป

วิสฺสเย มารสฺส เยรตฺตํ ท่านบอกว่า มันเป็นความหลง เป็นวิสัยของมาร ท่านว่าอย่างนั้น อันเรื่องเหล่านี้เป็นวิสัยของมารทั้งนั้น กิเลสเหล่านี้เป็นวิสัยของมาร เราติดสอยห้อยตามไปกับเรื่องเหล่านี้แหละ ติดต่อกันไม่รู้แล้วสักที เกิดในชาติใดภพใดก็ติดต่ออยู่อย่างนั้นแหละ มันหลอกลวงอยู่อย่างนั้นแหละเรื่อยไป ไม่มีที่สิ้นสุด

ถ้าหากผู้มารู้เท่าเข้าใจอย่างที่อธิบายมานั้นแหละ เรียกว่า รู้เรื่อง รู้ถึงของมันเข้าใจตามเรื่องตามสภาพของมัน เราก็อยู่เย็นเป็นสุข หากว่าเราไม่รู้เรื่อง หลงตามอยู่อย่างนี้ มันก็เป็นทุกข์เรื่อยไป แล้วเมื่อไรมันจะหายจากความทุกข์ได้สักที? เมื่อไรจะเข็ดหลาบสักที? ครั้นหากว่าหลงอันนี้ ก็อยู่อย่างนี้แหละตลอดเวลา ตลอดภพตลอดชาติ หลงอยู่ตลอดทุกเมื่อทุกยาม

ครั้นหากรู้เท่ารู้เรื่องแล้ว มันก็ปล่อยวางตามสภาพของมัน โลกก็เป็นอยู่ตามโลก ธรรมก็เป็นอีกอย่างหนึ่งต่างหาก เราอยู่ในธรรมเราไม่เป็นไปตามโลก มันก็สุขสบาย

ธาตุนั้นๆ ใครเป็นเจ้าของ? ไม่มี ธาตุอันนั้นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นธรรมดาอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา จึงว่าไม่ใช่ของตน ไม่ใช่ของตัว แต่เรายังลุ่มหลงมัวเมาว่าเป็นของตัวอยู่เรื่อยไป

[จบ โอวาทหลังปาติโมกข์ 35. สิ่งที่หลอกลวง ]