29. การชำระกิเลส

ธรรมเทสนา ชุด โอวาทหลังปาติโมกข์
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

ให้รู้เรื่องของตน เรามาทำความเพียรภาวนานี้ เรามาทำอะไรเวลานี้ เรามาต้องการอะไร เราจึงค่อยทำภาวนา ตรงไหนเราจะต้องชำระ ตรงไหนจะต้องละ ต้องทิ้ง ต้องปล่อยทั้งนอกและทั้งใน

๒๙. การชำระกิเลส
วันที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๘

จะพูดถึงเรื่องภาวนา ผู้ที่ทำความเพียรภาวนาทุกคน ปรารถนาเพื่อจะไห้จิตของเราหมดจด บริสุทธิ์สะอาดทุกคนนั่นแหละ ทำทั้งกลางวันกลางคืนทำตลอดเวล่ำเวลา ผู้ทำไม่ถูกก็เลยงมงายไปในเรื่องสะสมกิเลสเข้าไปอีก บางคนนั้นคิดไปคิดมาปรารภความเพียร มันเลยเอาอันนั้นมาเป็นอารมณ์ เลยสะสมแต่กิเลสกองมูลกองพูนอยู่ในนั้น ไม่ใช่ชำระกิเลส การชำระกิเลสมันต้องถอนต้องเพิกออกไปมันจึงเรียกว่าภาวนา

พระพุทธเจ้าทรงเทศนาว่า การภาวนา คือว่า การละ การทิ้ง การถอน จึงเรียกว่าภาวนา ครั้นไม่ทิ้ง ไม่ถอน ไม่เลิก ไม่ละ มันเป็นการสะสม ก็อยู่อย่างนั้นแหละ ทำไปสักเท่าใด ก็เป็นอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่มีละไม่มีถอนเป็น ให้รู้เรื่องของตน เรามาทำความเพียรภาวนานี้ เรามาทำอะไรเวลานี้ เรามาต้องการอะไร เราจึงค่อยทำภาวนา ตรงไหนเราจะต้องชำระ ตรงไหนจะต้องละ ต้องทิ้ง ต้องปล่อยทั้งนอกและทั้งใน

ทางนอก คือ สิ่งที่แวดล้อมตัวของเรา การนุ่งการห่ม อาหารการกิน ที่อยู่ที่นอน ยาแก้ไข้ทุกสิ่งทุกประการ อันนี้มันเป็นเครื่องแวดล้อมในตัวของเรา เราจะต้องชำระให้เห็นอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่จิตของเรานั้นไปมัวเมาในของเหล่านั้น เป็นผ้าเป็นผ่อน ถ้าหากว่าเป็นการจำเป็นเราไม่ต้องสะสม จำเป็นต้องนุ่งต้องห่ม จำเป็นต้องปกปิดร่างกาย อันนั้นเป็นเพียงแต่สักว่าปกปิดร่างกาย ไม่หลงไม่มัวเมาประมาทที่เราได้ของดิบของดี หรือไม่ได้ของดีก็ไม่พอใจ อันนี้มันเป็นเหตุให้เราเศร้าหมอง กิเสลมันรอบอยู่ในตัวของเรานี่ล่ะ ทุกสิ่งทุกประการ

อาหารการกิน ที่เรารับประทานเข้าไป มันเลือกไหม? เลือกว่าอาหารดีไม่ดี มันเลือกไหม? สังเกตดูใจของเรา ถ้าหากว่ายังเลือกมองนั่นมองนี่ อันนั้นดีอันนี้ไม่ดี นั้นถูกปากนี้ไม่ถูกปาก อันนั้นอร่อยอันนี้ไม่อร่อย มันยังส่ายหาอยู่ มันจะเป็นเหตุให้ใจเราเศร้าหมอง เป็นเหตุให้ใจไม่ผ่องใส อันนี้ก็เป็นเรื่องจำเป็นที่สุด เราจะต้องรับประทานอาหารอยู่ทุกวัน ต้องดูแลรักษาให้มันรอบคอบ

เสนาสนะ ที่อยู่ที่นอน เสื่อหมอน เราใช้เราสอยเรารู้จักรักษา รู้จักเก็บไม่ใช่ว่าใช้แล้วก็เลยทิ้ง ให้หมดกิเละเกนัง ไม่รู้จักระมัดระวังรักษาของ อันนี้เป็นเครื่องแสดงออกมาแต่ภายใน จิตใจเราหมกมุ่น จิตใจเรารกมันก็รกตาม จิตใจเราผ่องใสมันก็ผ่องใสตามกัน ของภายนอกมันแสดงถึงของภายใน เราใช้สอยแล้วได้อยู่อาศัยเราพอใจหรือไม่พอใจ ยินดีหรือไม่ยินดีในการที่เราอยู่ การอยู่ป่ารุกขมูลอันนั้นดีนัก มองที่ไหน ก็ไม่ใช่ของเราสักอย่างเดียว มีแต่กลดมีแต่มุ้ง แล้วก็เก็บเลิกไปเลย ที่ปูนอนก็เป็นแต่เพียงว่าเป็นหญ้า เป็นใบตองเฉยๆ ไม่ถือว่าเป็นของเรา ได้อย่างนั้นแหละดีมาก

อยู่กุฏิก็เช่นเดียวกัน แต่ว่ากุฏิและเสนาสนะอันนั้นไม่ใช่ป่ารุกขมูล ไม่ใช่ทำอย่างนั้น อันนั้นเป็นของไม่มีใครหวงแหน อันนี้เราหนีแล้วยังมีคนรักษาอยู่มีคนอื่นรักษาหวงแหนอยู่ หวงแหนก็ไม่ใช่หวงแหนอะไรหรอก สำหรับให้เรามาอาศัยนั่นล่ะ แต่คนอื่นมาอาศัยก็ได้ เราต้องเก็บต้องรักษา ต้องรู้จักใช้สอยมันให้เป็น

เรื่องไฟก็ดูให้มันพอ ให้ใช้พอประมาณสมควร บางทีดูหนังสือเพลินไปเลยหลับไป จวนจะรุ่งขึ้นไปจึงจะรู้สึก แต่ก่อนผมเดินอยู่ตามลานวัด พระเณรไม่ค่อยมีสติระวังรักษาสักหน่อย แต่เดี๋ยวนี้ผมไม่ได้เที่ยวแล้ว ไม่ได้ออกจากกุฏิ ไม่ทราบว่ากุฏิไหนนอนเปิดไฟทิ้งไว้ กุฏิไหนเปิดกุฏิไหนไม่เปิด มันก็ไม่รู้เรื่อง สนุกใหญ่เลย ไม่มีการระวังไม่มีการรักษา ไม่มีการตักเตือนซึ่งกันและกัน เลยเปิดไว้ตลอดเวลา สนุกเลย

หยูกยา ที่เราฉันเพื่อบำบัดโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ใช่ว่าเราฉันเพื่ออิ่มเพื่อสนุกสนาน เราฉันก็สักแต่ว่าแก้โรคภัยไข้เจ็บ ไม่ใช่ว่าอมยาให้เป็นนิจ จนติดยานั้น อย่างอมหมากเยาวราชอย่างนี้เป็นต้น หรือยายินตัน ยาโบตั๋น อย่างนี้เป็นต้น

เหตุนั้น เรืองกิเลสทั้งหลายมันล้อมอยู่ในตัวของเรา ถ้าจะชำระกิเลสของตนต้องชำระของหมู่นี้ เห็นของหมู่นี้เสียก่อน แล้วจึงชำระตรงนั้น ครั้นเมื่อชำระลงไปแล้ว ไม่มีอะไรเป็นเครื่องติดเครื่องข้อง จิตมันก็ผ่องใสสะอาด นั่นแหละเรียกว่า ชำระจิตสะอาดแท้ จิตสะอาดไม่มีกิเลสพัวพัน จิตใจผ่องใสอยู่ตลอดเวลา อันนั้นแหละเรียกว่า ชำระกิเลสแท้ จิตใจผ่องใสสะอาดไม่มีเครื่องกังวลเกี่ยวข้อง นั่นเป็นจิตอันบริสุทธิ์ อันนั้นเรียกว่าเป็น สมาธิ แล้วนั่นน่ะ สมาธิตรงนี้ไม่ใช่อยู่ไกลคือ ชำระทั้งหมด จิตใจเราชำระทั้งหมดแล้วมันก็ผ่องใส สะอาดอันนี้ว่าถึงการชำระแต่ปัจจัยชาติทั้ง ๔ เฉพาะกิเลสปัจจัยชาติทั้ง ๔ ผ่องใสสะอาด

การชำระกิเลสอื่นๆ ก็เหมือนกัน ที่มันข้องอยู่กับจิตใจของตน ไม่พัวพันเกี่ยวข้อง จิตมันก็ผ่องใสสะอาด จิตมันก็เป็นสมาธิ จิตเป็นสมาธิอันนี้นั้น เกิดจากเราชำระอย่างที่ว่ามานี้ ใจสะอาดบริสุทธิ์แล้ว ก็ปราศจากกังวลพัวพันทั้งหมด จิตใสสะอาด อันนั้นเรียกว่าชำระโดยลำดับ การชำระจิตบางทีนั้นเราชำระอะไรหรืออารมณ์อะไรก็ตามเถอะ เมื่อชำระเด็ดเดี่ยวกล้าหาญเฉพาะสิ่งนั้นๆ อารมณ์นั้นๆ จิตมันรวมลงไป มันขาดเสียจากสิ่งที่กังวลเกี่ยวข้องทั้งหลายเหล่านั้นแล้วขาดหมด มันรวมไปไม่รู้ตัว อันนั้น”จิต”อย่างหนึ่ง

“จิต” ที่ไม่มีกังวลเกี่ยงข้องผมอธิบายว่า เป็น “ใจ” คือตัวกลาง ตัวไม่คิดไม่นึก คือไม่มีอารมณ์ มันเป็นกลางๆ อยู่เฉยๆ นั่นเข้าถึงใจแท้ อันนั้นท่านเรียก “จิตเดิม” หรือเรียกว่า “จริมกจิต” ก็เรียก จิตนั้นเป็นของเดิม จิตเดิมมันผ่องใสเป็นปกติธรรมดา มีบางคนนั้นสงสัยว่า จิตมันผ่องใสแล้วทำไมจึงต้องมาชำระกิเลสอีก เราชำระอันตัวเศร้าหมองนั้นต่างหาก ตัวจิตจะไปชำระอะไรมัน ตัวใจแท้ไม่ต้องชำระ ชำระตัวจิตต่างหาก เหมือนกับเมฆ เหมือนกับฟ้า อันที่มาปกปิดพระอาทิตย์และพระจันทร์ให้มัวหมองไป เราชำระตัวนั้นต่างหาก ไปชำระมันทำไมพระอาทิตย์พระจันทร์ไม่ได้เศร้าหมอง ชำระตัวนั้นอันที่ปกปิด มันก็ถึงพระอาทิตย์พระจันทร์น่ะซี คือถึงใจนั่นซี ให้ผ่องใสสะอาดอยู่ตลอดเวลา

ถ้าหากว่าจิตอันนั้นเศร้าหมองแล้ว ไม่มีใครสามารถชำระจิตได้ ไม่มีใครสามารถทำให้จิตผ่องใสได้ เหมือนกับเหล็ก เหมือนกับแร่ตะกั่วอะไรต่างๆ เราจะไล่ขี้มันสักเท่าไรก็ไม่ใสสะอาดเหมือนเก่า ถ้าหากเป็นแก้วนั้นไล่ของสกปรกแล้วใสสะอาดอยู่ตลอดเวลา จิตก็ฉันเดียวกัน เหตุนั้นจึงว่าจิตที่เป็นของผ่องใสสะอาดนั้นเป็นจิตของเดิม อันนั้นจึงว่าไม่มีการเศร้าหมอง

แต่อีกอย่างหนึ่งที่มันจะให้เกิดอุบายปัญญา มันยังอีกตอนหนึ่ง มันเกิดอุบายของตนอิกตอนหนึ่งต่างหาก ให้มันถึงตรงนั้นเสียก่อน มันจะเกิดอุบายอะไรต่างๆ ความแยบคาย มีความชำนิชำนาญเกิดขึ้นมา มันจึงค่อยเกิดอุบายแยบคายต่อไปอีก อันนั้นแล้วแต่ของใครของมัน แล้วแต่ของตนเอง ไม่มีคำพูด พูดกันไม่ได้ พูดกันได้แต่การชำระจิต เรื่องชำระจิตอย่างอธิบายมานี้ ส่วน “ใจ” นั้นน่ะเป็นของเดิม อธิบายไม่ได้ แต่ว่ามีผู้อุบายปัญญาต้องชำระด้วยตนเอง

การภาวนาคือ การละ การทิ้ง การถอน… การอยู่ป่ารุกขมูลอันนั้นดีนัก มองที่ไหน ก็ไม่ใช่ของเราสักอย่างเดียว

[จบ โอวาทหลังปาติโมกข์ 29. การชำระกิเลส]