09. ตรวจดูตัวของเรา

ธรรมเทสนา ชุด โอวาทหลังปาติโมกข์
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

ขอให้ตรวจดูตัวของเรา ตั้งแต่เข้ามาอยู่วัด หรือเข้ามาจำพรรษา ตรวจดูมาตั้งแต่เบื้องต้น ทั้ง กาย วาจา และใจของเรา สิ่งใดที่บกพร่อง เราได้แก้ไขแล้ว และยังแก้ไขไม่ได้ ก็ให้รู้เรื่อง รู้เรื่องตัวของเรา

๙. ตรวจดูตัวของเรา
วันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๖

นี่ก็จวนออกพรรษาแล้วละ ก็ไม่มีอะไรหรอก อยากจะเตือนหมู่ด้วยความหวังดีปรารถนาดีต่อหมู่เพื่อนทุกองค์ ขอให้ตรวจดูตัวของเราตั้งแต่เข้ามาอยู่วัด หรือตั้งแต่เข้ามาจำพรรษา ตรวจดูมาตั้งแต่เบื้องต้น ทั้งกาย วาจา และใจของเรา สิ่งใดที่เราบกพร่อง เราแก้ไขได้แล้ว และยังแก้ไขไม่ได้ก็ให้รู้เรื่อง รู้เรื่องตัวของเราคนอื่นไม่รู้เรื่องหรอก ตัวของเราเท่านั้นรู้ตัวของเราเอง ในพุทธศาสนานี้สอนให้รู้ตัวเองสอนให้แก้ไขตัวเอง สิ่งนี้สำคัญที่สุด

การรู้ตัวตนเองเห็นตนเองไม่มีการกระทบคนอื่น ถ้าเพ่งออกภายนอกเป็นเรื่องเพ่งออกไปถึงคนอื่น โดยมากมักจะยกโทษคนอื่น แต่ก็ดีเหมือนกันเพ่งออกภายนอกเพื่อให้เป็นคติแยกแตกต่างในการที่เห็นสิ่งเหล่านั้น เห็นเขาไม่ดีเราพิจารณาน้อมเข้ามาถึงตัวของเรา เราเป็นขนาดไหน เราเป็นอย่างเขาไหม เทียบเคียงลองดูครั้นถ้าหากว่าไม่เป็นก็พ้นไปได้ ถ้าหากว่าเราเป็นเช่นนั้นก็ควรที่จะแก้ไข นี่! ถ้าเห็นโทษคนอื่นให้เห็นอย่างนี้ เมื่อเห็นคนอื่นทำดี เรามาเพ่งลองดูตัวของเรา ดีไหมตัวของเรา อย่างเขาเป็นไหม เป็นอย่างเขาแล้วเราก็ดีไป ถ้าไม่เป็นอย่างเขาแล้วเราก็แก้ไขตัวของเรา อันนี้เพ่งออกภายนอกมีประโยชน์อย่างนั้น

ถ้าเพ่งดูภายในเฉพาะตนเอง กาย วาจา และใจทุกอย่าง สิ่งที่ควรแก้ไข ก็แก้ไข สิ่งที่ยังแก้ไม่ได้ ก็ให้ก็จำไว้ เรามาบวชในพระพุทธศาสนามีสิ่งเดียวคือ ที่จะแก้ไขตนเองเท่านั้นแหละ ไม่มีสิ่งอื่นหรอก ตั้งแต่เราเริ่มมาอยู่เริ่มมาจำพรรษานี้เวลาผ่านพ้นไป ๓ เดือนแล้ว ถ้าหากว่าเราแก้ไขตนเองได้ ก็ได้ชื่อว่าเป็นกำไรของเราในส่วนนั้น ถ้าแก้ไขไม่ได้ นั้นก็เป็นกำไรเหมือนกัน มันเป็นกำไรที่เราได้รู้ในระยะ ๓ เดือน เราเพ่งพิจารณาดู ให้รู้คุณรู้โทษของตนๆ อย่าให้มันเสียประโยชน์ในการที่ได้มาอยู่ เพราะชีวิตของเรา ๓ เดือนนั้นเป็นของไม่ใช่ของง่าย ยากนักยากหนา ๓ เดือนนี้เสียค่าใช้จ่ายไปเท่าไรแล้ว ๓ เดือนล่วงไปแล้ว อาหารการบริโภคทุกสิ่งทุกประการที่เราใช้ประโยชน์เพื่อมัน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหารการกิน หมากพลูบุหรี่สารพัด ที่นั่งที่นอน ที่อยู่อาศัย เรามารุมใช้มันให้มันได้ความสบาย แล้วตัวเราจะได้พิจารณาตัวเอง ทั้ง ๓ อย่างที่ว่านั่นแหละ

ถ้าหากเราไม่ได้พิจารณาตัวเอง เราเสียจากผลประโยชน์หมด ๓ เดือน ล่วงไปแล้วหมดเฉยๆ ไม่ใช่หมดเฉยๆ เท่านั้น ยังทำชีวิตให้เสื่อมสิ้นสูญไปเปล่าๆ ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ได้ชื่อว่าเป็นหนี้ของเขา ในการที่เรามาอยู่กับเขาเรียกว่าเราต้องเป็นหนี้เขา พระต้องเป็นหนี้เขาเรื่อยไป ไม่มีกำไรสักทีหรอก ถ้าหากว่าไม่ทำดีไม่รักษาตนเอง อาหารการกินก็ได้ชื่อว่าเป็นหนี้เขา ผ้าผ่อนก็ได้ชื่อว่าเป็นหนี้เขา ที่อยู่ที่นอนก็ได้ชื่อว่าเป็นหนี้เขา หยูกยาเภสัชต่างๆ นี่ก็เป็นหนี้เขาหมด ฉะนั้นตรวจตราดูตัวของเราอยู่อย่างนี้ เห็นกาย วาจา ใจของเราบกพร่องตรงไหนเราแก้ไขตรงนั้นแหละ นั่นได้ชื่อว่าเปลื้องหนี้เขาในตัว ไม่ใช่เปลื้องนี้เฉยๆ ยังเป็นประโยชน์แก่ชาวบ้านชาวเมือง เป็นประโยชน์แก่ผู้ทำบุญทำทาน เขายกมือไหว้ก็ยังได้กุศลมากมาย มันเป็นของน่าเอาใจใส่จริงๆ ประโยชน์ตนก็ได้ ประโยชน์คนอื่นก็มี

ชีวิตของคนเราเป็นของเสื่อมสูญสิ้นไป หมดไปสิ้น เราเกิดขึ้นมานั้นแต่ละชาติละชาติได้ชื่อว่ามาทำกรรม ได้ชื่อมาเสวยกรรม เกิดขึ้นมาทุกคนต้องมีกรรม กรรมดีก็มีกรรมชั่วก็มี ต้องทำทุกอย่าง ทำทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ถ้าเราตรวจตราพิจารณาดูตัวของตนอยู่เสมอๆ อันใดผิดอันใดถูก อันใดดีอันใดชั่ว ละเว้นความชั่วเสีย ก็เป็นคนดี ได้ชื่อว่าละกรรมชั่ว เป็นการผ่อนผันกรรมไป ถ้าหากว่าเราไม่รู้สึกตัวเลย นั่นได้ชื่อว่ามานอนอยู่ในโลกมาทำกรรมชั่ว ความชั่วที่เราทำไว้นั้นยังจะเป็นปัจจัยให้เกิดชั่วต่อไปอีก กรรมดีที่เราทำนั้นน่ะ ได้ชื่อว่าแก้ไขกรรมชั่วหมดไปในตัว ชาตินี้หมดแค่นี้แหละ เราเห็นของตัวว่ามันหมดไปแค่นี้ ชาติหน้ามันค่อยเบาบางลง ถ้าหากว่าเราไม่ละกรรมชั่ว สะสมกรรมชั่วให้เกิดอีก อย่างเราเกิดมาทำชั่วเป็นหนี้ของโลกอย่างว่านั่น ในชาติต่อไปยังจะเกิดมาไม่ทราบว่าเกิดมาทำไม มันจะเกิดมาเป็นอะไรก็ไม่ทราบล่ะ ต่ำกว่านี้เลวทรามกว่านี้ หรือว่าเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ เพราะผู้มีกรรมจะต้องเป็นไปตามกรรม เราแต่งเอาไม่ได้

กรรมชั่วต้องซัดไปในทางชั่วไปตกอบายทุคติไม่มีหนทางที่จะพ้นโทษขึ้นมาได้ยิ่งหนักเข้าไปทุกที แต่ชาติจึงว่าสะสมกรรม คนเราเกิดมาหลายภพหลายชาติไม่ใช่ ๒๐ ชาติ ๓๐ ชาติหรือร้อยชาติพันชาติเท่านั้น นักเป็นเอนกอนันต์เหลือที่จะพรรณา เหตุนั้นจึงพากันทำความดีไว้ เพื่อให้พ้นโทษมาโดยลำดับ ได้ชื่อว่าใช้หนี้กรรมโลก เรามาอยู่ในโลกได้ชื่อว่า เป็นหนี้ของโลก มาอยู่ในโลกอันนี้ได้ชื่อเป็นหนี้ของเขา กายของเราก็ได้ชื่อว่า ดิน น้ำ ไฟ ลม ได้ชื่อว่าเอาของเขามาปั้นรูป ให้เป็นรูปของเรานี่ ได้ชื่อว่าของโลก ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นของโลกทั้งปวงหมด ตายไปแล้วสละทิ้งคืนของเก่า คนอื่นมาเอาปั้นรูปต่ออีก มาเอา ดิน น้ำ ลม ไฟอีก ตายไปแล้วก็สละทิ้งของเก่า คนที่เกิดขึ้นมาได้ชื่อว่ามาเอาของโลกนี้ไปเป็นตนเป็นตัว ถ้าหากว่าไม่ใช้หนี้อย่างที่อธิบายมานี่แล้ว ก็จะทับถมตัวของเราอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป

เหตุฉะนั้น คนที่พิจารณาอย่างที่อธิบายมานี้ได้ชื่อว่า เรามาบวชในศาสนาและอยู่ในศาสนา เรามาอยู่ในวัดในวาหรือปฏิบัติตลอดไตรมาส ๓ เดือน ควรที่จะภูมิใจในการที่ทำดี ถ้าหากว่าเราทำชั่ว เราก็จะได้ความเศร้าหมองในตัวของเรา ไม่มีใครรู้ด้วยหรอก รู้ด้วยตนเอง

ในพุทธศาสนานี้ สอนให้รู้ตัวเอง สอนให้แก้ไขตัวเอง สิ่งนี้สำคัญที่สุด

[จบ โอวาทหลังปาติโมกข์ 09. ตรวจดูตัวของเรา]