01. วัด-วินัย
ธรรมเทสนา ชุด โอวาทหลังปาติโมกข์
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
คำว่า “มนุษย์ผู้มีใจสูง” “สูง” ในที่นี้หมายความถึง ความรู้ดี รู้ชั่ว แล้วละชั่วกลับเป็นดีได้ แล้วไม่กลับตัวไปทำความชั่ว อันเป็นของต่ำช้าเลวทรามอีก
๑. วัด – วินัย
วันที่ ๑๕ กันยายัน พ.ศ. ๒๕๐๖ ตอนค่ำ (อบรมพระภิกษุสามเณร) ณ วัดเจริญสมณกิจ ภูเก็ต
วันนี้เริ่มต้นเทศน์กัณฑ์ใหม่กันที ทุกๆคนจงพากันทำจิตของตนให้เป็นของใหม่ จะได้ฟังเทศน์กัณฑ์ใหม่ๆกันต่อไป ของเก่ามักชักจะด้านไป เก่าคน เก่าใจ ไม่เป็นของมีค่า หาแวววาวมิได้
การอบรมฝึกฝนตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น เบื้องต้นทุกๆคน มาวัดฟังเทศน์ ฟังธรรม จำศีล มาบวชในพระธรรมวินัยนี้ ก็เพื่อจะมาอบรมกาย วาจา ใจ ของตนให้ถูกต้องตามธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะเข้าใจว่า คำสอนในพระพุทธศาสนานี้เป็นคำสอนที่ดีมีเหตุผลเชื่อถือได้
ก็บัดนี้กาลเวลาล่วงมานานแล้ว เหลืออยู่ไม่กี่วันก็จะออกพรรษาแล้ว การอบรมฝึกฝนของพวกเราดังกล่าวมาแล้วนั้น บัดนี้ได้พากันตรวจดูผลลัพธ์แล้วหรือยังว่า ใครได้อะไรบ้างเป็นผลตอบแทน ไม่ว่าแต่เฉพาะปีนี้ละ ผู้ที่ได้อบรมฝึกฝนมาแล้วนานๆหลายปีก็ตาม จงตรวจดูว่าเราทำการอบรมฝึกฝนมาคุ้มค่าแล้วหรือยัง
ธรรมดาคนเราผู้ซึ่งจะเข้าไปศึกษาอบรมหาความรู้ความดี ในสถาบันใดก็ตามจะต้องตัดสินใจตนเองเสียก่อนว่า สถาบันที่เราจะเข้าไปอบรมฝึกฝนนั้น เป็นสถาบันที่ดีและสามารถจะประสิทธิ์ประสาท ให้ความรู้ความดีแก่เราได้สมเจตนาหรือไม่ โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาเป็นสถาบันอันดีเลิศ ไม่สักแต่ว่าจะประสิทธิ์ประสาทให้เราได้ความรู้ความฉลาด เพื่อการครองชีพเป็นสุขสมบูรณ์เท่านั้น แต่ยังสามารถทำให้เราผู้เข้าใจแล้วทำตาม จนรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมเข้าถึงมรรคผลนิพพานได้ พระพุทธศาสนาจึงเป็นสถาบันอันสูงเยี่ยม เป็นที่รวมแห่งวัฒนธรรมและศีลธรรมดำรงไว้ซึ่งสัมมาชีพ มีความผลสุขเป็นผลตอบแทน เมื่อเข้ารู้ชัดอย่างนี้แล้ว จึงเกิดศรัทธาอุตส่าห์เข้าอบรมในพระพุทธศาสนานี้
แต่เมื่อเข้ามาแล้ว ถ้าทำไม่ดี ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์และปณิธานของตนแต่เบื้องต้น เช่น ไม่ตั้งใจอบรมศึกษาให้เข้าใจในหลักธรรม มาทำลายระเบียบขนบธรรมเนียม กฎกติกา ธรรมวินัยที่ท่านปฏิบัติไว้แล้ว ดื้อด้านฝ่าฝืน น้อมเอาระเบียบเหล่านั้นมาปฏิวัติเข้ากับกิเลสความต้องการของตน ตรงกันข้ามนอกจากจะเป็นการทำลายสถาบันอันมีเกียรติ และศักดิ์สิทธิ์เคารพยิ่งของตนแล้ว ยังเป็นผลสะท้อนให้เกิดความเสื่อมเสียหาย เดือดร้อนให้แก่คนมากมาย คล้ายกับว่าเรากำลังหิวอาหาร เมื่อเห็นเขาเอาก้อนยาพิษมาขาย เราเข้าใจว่าได้รับประทานขนมที่อร่อยเพื่อแก้หิว เมื่อซื้อรับประทานเข้าไปแล้ว จึงจะรู้สึกว่ามิใช่ขนมเสียแล้ว แต่มันกลับเป็นยาพิษเพื่อสังหารชีวิต
พึงตั้งข้อสังเกตดูภายในจิตใจของตนๆ ก็จะรู้ได้ว่าเราเข้าอบรมฝึกฝนธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยความบริสุทธิ์จริงใจ หรือว่าเรามาบ่อนทำลายสถาบันอันมีเกียรติและศักดิ์สิทธิ์เคารพยิ่งของตน จะรู้ได้จากเหตุผลเหล่านี้ คือ
เมื่อครูอาจารย์เพื่อนพรหมจรรย์ หรือใครๆก็ตามผู้หวังดีต่อ ตักเตือนว่ากล่าวในสิ่งที่ชอบที่ควร เพื่อให้เข้าระเบียบธรรมวินัยก็ดี หรือได้เห็นได้ฟัง กฎ กติกา ระเบียบ ประเพณี ข้อวัตร และธรรมวินัยก็ดี แล้วทำให้เกิดความท้อใจ หนักใจ ขัดเคือง โกรธแค้น ไม่พอใจ จนเป็นเหตุให้ล่วงละเมิดและฝ่าฝืน พึงเข้าใจเถิดว่านั้นเป็นบ่อนทำลายมิใช่เพื่อเชิดชูบำรุงส่งเสริมเสียแล้ว
แต่ถ้าเมื่อครูอาจารย์และเพื่อนพรหมจรรย์ เป็นต้น ผู้หวังดีต่อเรา กล่าวตักเตือนในสิ่งที่ดีที่ควร เพื่อให้เราประพฤติถูกต้องตามธรรมวินัยก็ดี ได้เห็นได้ฟังกฎ กติกา ระเบียบประเพณี ข้อวัตรที่ท่านตั้งไว้แล้วก็ดี ยิ่งเพิ่มความเลื่อมใสแสดงความพอใจ อยากประพฤติให้ถูกต้อง ถามท่านผู้รู้เพื่อแนะแนวทางในการปฏิบัติให้ ไม่มีทิฐิมานะ กระด้าง ถือตัว อาการเหล่านี้เป็นอาการของผู้บวชเข้ามาอบรมฝึกฝน เพื่อเพิ่มพูนส่งเสริมเชิดชูพระพุทธศาสนา ให้เจริญก้าวหน้าโดยส่วนเดียว เหมือนกับบุคคลผู้ปรารถนากำลังแสวงหาทรัพย์อันมีค่าอยู่ เมื่อใครก็ตามแม้แต่คนขี้เรื้อนหาที่อาศัยมิได้ก็ตาม มาชี้แหล่งที่มีทรัพย์ให้ว่า ณ บริเวณที่ตรงนั้นมีแร่ต่างๆที่มีค่าหลายชนิด อาทิเช่นทองคำและเพชรพลอยก็มาก ดังนี้บุคคลนั้นเขาจะไม่แสดงความรังเกียจคนขี้เรื้อนคนนั้นเลย ความกระหยิ่ม และปลื้มใจในการที่ได้รับคำบอกเล่า ทั้งๆที่ยังไม่เห็นทรัพย์ ก็จะนับจะประมาณมิได้เสียแล้ว
ให้คิดดูจงดีว่า ธรรมวินัย กฎ กติกา ระเบียบ ประเพณี ข้อวัตร ทั้งหลายท่านตั้งไว้ เพื่อเป็นเครื่องอบรมฝึกฝนกาย วาจา ใจของตน ให้ดีขึ้นโดยลำดับ และมีไว้ก่อนนานแล้ว ก่อนแต่เรายังไม่เข้ามาอบรมฝึกฝนเสียด้วยซ้ำ เราสมัครใจเลื่อมใสเห็นว่า เป็นหนทางที่ดีที่ถูกแล้ว จึงได้เข้ามาอบรมฝึกฝนโดยมิได้มีใครบังคับ แต่เมื่อเข้ามาอบรมฝึกฝนแล้วกลับตาลปัต มองไปแง่ไหน เห็นอะไร ทำอะไร ดูเหมือนจะเป็นพิษเป็นภัย บีบบังคับแก่เราเสียคนเดียวทุกๆวิถีทาง ครูบาอาจารย์หมู่เพื่อนตักเตือน ก็เหมือนกับเอาหอกมายอกหัวอก บวชเข้ามาอบรมฝึกฝน เพ่อผลความดีมีความสุขตอบแทน บวชแบบนี้เลยกลับตกนรกทั้งเป็นอย่างน่าสงสาร และใครจะช่วยก็ไม่ได้ด้วย
ที่แสดงมานี้เพื่อให้พวกผู้อยู่ภายใน ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด ช่วยกันตรวจดูว่า การที่พวกเราพากันมาอบรมฝึกฝนนี้ สิ่งใดยังบกพร่องอยู่ควรแก้ไข แล้วจงช่วยกันปรับปรุงแก้ไขให้มันดีขึ้น ถ้าสิ่งใดมันถูกต้องแล้ว ก็จงพากันส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้าถาวรต่อไป อย่าได้ทอดทิ้งให้แต่ครูบาอาจารย์ผู้เป็นหัวหน้าคนเดียว มันหนักท่าน ความหนักของผู้เป็นหัวหน้ามิใช่แต่เรื่องบริหารอย่างเดียว มันมากนัก
โดยเฉพาะเรื่องของพระแล้ว ภาระมากเหลือจะพูด พระเป็นศูนย์กลายของทุกๆอย่างทั้งดีและชั่ว บริหารวัดไม่ดี อบรมลูกศิษย์พุทธบริษัทไม่ดี ก่อสร้างรักษาวัดไม่ดีไม่ทำตามใจของลูกวัด และชาวบ้านผู้ต้องการ รับใช้เขาไม่ไหวเพราะสุขภาพไม่สมบูรณ์ และมีเหตุการณ์บางอย่างด้วยความจำเป็น เหล่านี้เป็นต้น เขาก็เกลียด ถ้าทำให้ถูกใจลูกวัดและชาวบ้าน แต่มันขัดต่อนโยบายและระเบียบธรรมวินัย เมื่อทำไปแล้วก็เสีย เสื่อมสูญเศร้าหมองตนและพุทธศาสนา โดยเฉพาะการอบรมฝึกฝนลูกวัดและพุทธบริษัทเพื่อหวังดี บางทีไม่สักแต่ไม่ยอมเชื่อฟังทำตามเท่านั้น บางคนถึงกับโกรธหาเรื่องยกโทษต่างๆนานาไปก็มี เวรกรรมของพระผู้เป็นหัวหน้าแท้ๆ
ฉะนั้น พระผู้ใหญ่บางท่านที่ขี้เกียจ ไม่ยอมรับเวรกรรมจึงปล่อยวางทอดธุระไม่เอาเรื่อง เพราะเห็นว่าทำไปแล้วไม่คุ้มค่า ผลที่สุดสถาบันสงฆ์อันสูงและมีเกียรติก็จะมีแต่สมาชิกที่เลวทรามมาอาศัย ทำให้ปัญญาชนเบื่อระอาขาดความเคารพนับถือ ผู้ที่ประพฤติตนเลวทรามเช่นนั้น ได้ชื่อว่ามาสร้างบาปกรรมทำความฉิบหายให้เกิดแก่ตนและส่วนรวมแท้ๆ พระผู้หนักแน่นในศีลธรรมและระเบียบอันดีงาม หวังความเจริญแก่ตนทนอยู่ไม่ไหว ก็หาอุบายเอาตนรอด ทอดทิ้งพรรคพวกที่เลอะเทอะเหลวไหล ไว้ให้ย่ำยีพระธรรมวินัยตามวิสัยของคนเลว นี่นับเป็นการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาโดยไม่รู้ตัวจริงๆ
นี้ขอให้เพากันตรวจดูความประพฤติและจิตใจของพวกเราว่า เท่าที่เราได้เข้ามาบวชมาอบรมฝึกฝนในพระพุทธศาสนานี้ เราเข้ามาส่งเสริมเชิดชูให้เจริญรุ่งเรือง สมกับความเชื่อมั่นในเบื้องต้น ก่อนที่เราจะเข้ามาอบรมแล้วหรือยัง? ถ้าหากเราเข้ามาเพื่อเป็นศัตรูบ่อนทำลายพุทธศาสนาอันเป็นสถาบันที่มีเกียรติที่เคารพสูงสุดของเรา ก็นับได้ชื่อว่าเป็นผู้มาสร้างบาปกรรมอย่างน่าใจหาย พุทธศาสนาเป็นของดีเด่น ปรากฏแก่ชาวโลกมานานกว่าสองพันปีแล้ว ถ้าหากเราน้อมกายน้อมใจเลื่อมใส ปฏิบัติตามโดยความสุจริตแล้ว จะได้ความปลื้มใจในการที่เราคนหนึ่ง ได้มีส่วนร่วมเชิดชู บำรุงพระพุทธศาสนา
การที่เราเข้าไปศึกษาอบรมในสถาบันใดก็ตาม ไม่ว่าแต่ในพระพุทธศาสนาจะเป็นคริสต์ศาสนา ศาสนาอิสลาม และสำนักศึกษาใดก็ตาม อย่าได้ดึงข้อบัญญัติ กฎ กติกา และระเบียบประเพณีเป็นต้น ของสถาบันนั้นๆ ให้มาเข้ากับกิเลสของตน หรือดัดแปลงแก้ไขข้อบัญญัติเหล่านั้นตามชอบใจของตน ตั้งตนเป็นศาสดาแทนเอาเสียเลย บุคคลผู้ทำตนเช่นนั้น จะเป็นการบั่นทอนความเจริญก้าวหน้าของตนเอง ผลที่สุดจะเป็นคนคับโลกไม่มีที่อยู่
ตัวอย่างจะเห็นได้จากผู้รักษาศีลบางคน
ข้อ ๑. งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ แต่เมื่อเห็นสัตว์ร้ายเป็นพิษ ทั้งๆที่สัตว์ตัวนั้นก็ยังมิได้ทำอันตรายแก่ใครเลย ทำลายฆ่ามันเสียเพื่อป้องกันไม่ให้มันไปทำอันตรายแก่คนอื่น สัตว์อื่น ดังนี้เป็นต้นจัดได้ชื่อว่า น้อมเอาศีลมาเข้ากับกิเลสของตน ไม่สมกับว่ารักษาศีลละกิเลสอย่างหยาบ ผู้มีกิเลสทั้งหลายทำอะไรลงไป มักไม่เหมือนเพื่อนอยู่เสมอ ฉ้อโกง ลักขโมย ข่มเหง เบียดเบียนคนอื่นได้โดยไม่มียางอาย เข้าใจว่าเป็นความดีของตน
ข้อ ๒. งดเว้นจากการลักขโมยของคนอื่นที่เขาไม่ได้ให้ แต่บางกรณีเมื่อมีช่องทางพอจะได้มากๆ ก็ทนไม่ไหว ทำการฉ้อโกงขโมยเสียสักที รวยแล้วไม่ต้องเป็นทุกข์ จึงเริ่มรักษาศีลล้างใหม่ อย่างนี้คิดแต่ได้ไม่เห็นใจคนอื่น ทำบุญรักษาศีลล้างบาป ก็เหมือนเอานำมันล้างขี้โคลนนั่นเอง
ข้อ ๓. งดเว้นจากกาเมสุมิฉาจาร แต่บ้างครั้งยั้งจิตไม่อยู่ เพราะอีกฝ่ายหนึ่งยั่วให้หลงใหล เมื่อผิดไปแล้ว ต่างก็โทษซึ่งกันและกัน ว่าจิตใจซึ่งข้าบริสุทธิ์ดีอยู่แต่อีกฝ่ายหนึ่งมาพาให้ผิดต่างหาก เมื่อร่วมกันผิดแล้วก็ต่างไม่ยอม กาเมสุมิจฉาจารมนุษย์ธรรมดาเขามิใช่จะล่วงละเมิดได้ง่ายๆ ไม่เหมือนสัตว์ดิรัจฉาน อันเป็นประเพณีของเขา แต่ถึงกระนั้นมนุษย์เราก็ยังไม่สามารถจะจับตามองเขาได้ ป่วยการกล่าวไปใยถึงการแกล้งละเมิด
ข้อ ๔. งดเว้นจากการกล่าวเท็จ กล่าวคำไม่จริง แต่เล่ห์เหลี่ยมมารยาของคนเรามีมากนัก ไม่โกหกก็หลอกลวง ไม่หลอกลวงก็ยุแหย่ ไม่ยุแหย่ก็ยกโทษนินทาพูดกระแทกแดกดัน หาเรื่องให้คนอื่นเขาอยู่เป็นสุขไม่ได้ มนุษย์พรรค์นี้อยู่ที่ไหนนรกทั้งนั้น เป็นบาปจริงๆ
ข้อ ๕. งดเว้นจาการดื่มสุรายาเมา แต่เมื่อชอบเข้าแล้ว ก็หาเอาเลยว่าเพื่อเพื่อน เพื่อสังคม เพื่อเป็นยาเจริญอาหาร และสุขภาพบางประการบ้าง ที่สุดดื่มแล้วบอกว่าไม่ได้ไปอาละวาดกับใคร คงไม่บาปเหล่านี้เป็นต้น ล้วนแล้วแต่เป็นการดึงเอาศีลมาเข้ากับกิเลสของตน ให้ศีลยอมจำนนต่อความต้องการของตนแท้ๆ
ฝ่ายผู้บวชในพระธรรมวินัยนี้ ก็ทำนองเดียวกัน ที่บวชเข้ามาทำให้ยุ่งในหมู่ในคณะชื่อว่าเป็นพระเณรที่รกวัด ก็ล้วนแล้วแต่บังคับให้พระธรรมวินัย ระเบียบแบบแผน กฎ กติกา เป็นต้น ยอมจำนนต่อความต้องการของตน บวชแบบนี้เป็นการบ่อนทำลาย ล้างผลาญพระพุทธศาสนาโดยส่วนเดียว บาปมาก คนทำบาป ทำแต่ความชั่ว เมื่อเห็นคนอื่นทำดีทนอยู่ไม่ได้ หาวิธีกีดกันทุกวิถีทาง กลัวเขาจะเบียดเบียนความชั่วของตัว แล้วความชั่วของตัวจะปรากฏขึ้น พอถูกพระหรือครูบาอาจารย์ผู้หวังดี หมั่นแนะนำตักเตือนบ่อยนักก็หาว่าจู้จี้รำคาญ อะไรๆก็มีแต่ผิดหมดจะเอาอะไรกันอีก เรื่องของตัวเองยังไม่ได้สำรวจดูว่า เราเป็นอย่างไร ทั้งเราก็เข้ามาใหม่ธรรมวินัยก็ยังไม่รู้ และยอมมาศึกษาหาความรู้ปฏิบัติตามท่าน เมื่อท่านให้การศึกษาอบรมกลับไม่พอใจ นี่เพราะเหตุใด? เพราะผู้จะเข้ามาบวชมาอบรมในวัดไม่ยอมปล่อยกิเลสไว้นอกวัดก่อน มีเท่าไรๆ หอบเข้ามาด้วยกันหมด
การศึกษาอบรมในพระพุทธศาสนา เป็นวิธการบั่นทอนชำระล้างกิเลสของตนๆ ให้เบาบางลงโดยลำดับ จนหมดสิ้นไปในที่สุด ฉะนั้น พอถูกการศึกษาให้รู้หน้าตาของกิเลส อบรมฝึกฝนตามแผนการณ์บั่นทอนชำระกิเลส กิเลสจึงเดือดร้อนดิ้นรน สมุนคนใช้ของกิเลสก็ทนอยู่ไม่ไหว จึงแสดงปฏิกิริยาออกมาให้ปรากฏแก่คนภายนอก จนเป็นเหตุบ่อนทำลายในที่ทุกสถาน และในสถาบันทุกแห่งในเมื่อผู้นั้นเข้าไปถึงเข้า
คราวนี้ เมื่อผู้นั้นหนีไปจากสถานเช่นนั้น หรือสึกออกไปจากวัดนั้นแล้ว โดยที่ตนมิได้นำความดีออกไปจากสถานที่เช่นนั้น มีแต่ความชั่วทั้งเวลาเข้ามาและออกไปแล้วก็เอาความชั่วนั้นแหละออกไปโฆษณาว่า สถาบันไม่ดี วัดไม่ดี ครูบาอาจารย์ไม่ดี ผู้ที่มีอุดมคติเช่นเดียวกัน ก็พลอยหลงเชื่อคารมไปด้วย ทั้งที่ตนเองก็ยังไม่ได้เข้าไปในสถาบัน หรือบวชในวัดนั้นๆเลย มันไม่ผิดอะไรกันเลยกับตัดเรียวไม้ไผ่ทั้งหนามขนไปกองไว้ในวัด ใครจะเข้าไปแตะต้องทำอะไรไม่ได้ หากจะเอาไฟใส่เผาทิ้งเสียหรือเจ้าของเขาก็ยังไม่มอบกรรมสิทธิ์ให้ ลากเข้าไปไว้ในบ้าน ก็รกบ้านรกเรือนเท่าเก่าเมื่อจะให้เทศน์ตามความเป็นจริงแล้ว มันต้องว่ากันอย่างนี้ เป็นธรรมดาของคนขี้ขโมยย่อมไม่ชอบขี้หน้าเจ้าหน้าที่ แต่ขี้ขโมยกลับตัวได้ก็เพราะเจ้าหน้าที่คอยควบคุมขี้ขโมย
การมาบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา แม้ที่สุด อุบาสก อุบาสิกา เข้ามาวัดเพื่อฝึกหัดอบรมเป็นครั้งคราวก็เพื่อทรมานฝึกหัดกายวาจาใจ ในสิ่งที่ไม่ดีไม่งามให้กระจายหายไป มิใช่มาตั้งตัวเป็นอิสระ ถือมานะทิฐิ ใครจะว่ากล่าวตักเตือนไม่ได้ และไม่ยอมทำตามโอวาทของใคร เอาแต่ใจของตนอย่างเดียว คนเราถ้าไม่ยอมสละมานะทิฐิทรมานตนแล้ว อยู่ในสังคมเขาไม่ได้แน่ คำว่า มนุษย์ผู้มีใจสูงนั้น มิใช่สูงด้วยทิฐิมานะอันแสดงถึงความกระด้าง ถ้าหมายถึงสูงแบบนั้น ริ้นตัวเล็กๆ อาจมีใจสูงกว่าคนเราก็ได้ สูงในที่นี้ หมายถึงความรู้ดีชั่วแล้วละชั่วกลับเป็นดีได้ แล้วไม่กลับตัวลงไปทำความชั่วอันเป็นของต่ำช้าเลวทรามอีก
สัตว์ดิรัจฉานมีใจต่ำ น้อยตัวที่สามารถกลับตนให้ดีกว่าภูมิเดิมได้ ถึงแม้คนจะหัดศิลปวิชานานาชนิดให้ เป็นต้นว่าหัดเล่นละครได้อย่างดีสักเท่าไร ก็ได้เพียงแค่เจ้าของผู้หัดให้เท่านั้น นอกเหนือออกไปจากนั้นแล้ว มันไม่สามารถจะทำได้เลยและเรื่องที่มันทำได้อยู่นั้นก็ดี มันหาได้รู้เรื่องเค้าความเป็นมา และความประสงค์ในเรื่องนั้นไม่ อนึ่ง การหัดสัตว์นั้น เขามักหัดให้มันติดยาเสพติดเสียก่อน เมื่อมันติดยาแล้วจึงเอายาเสพติดมาจ้าง ให้มันทำตามบังคับของตน สำหรับพุทธศาสนาไม่ใช่ยาเสพติด สอนให้รู้จักสิ่งที่ผิดที่ถูก สิ่งที่ดีให้เกิดคุณประโยชน์ สิ่งที่ชั่วให้เกิดโทษเป็นทุกข์ รู้คุณและโทษชัดเองด้วย แล้วละชั่วทำดี โดยไม่มีใครบังคับ จึงชื่อได้ว่าเป็นผู้มีใจสูง ถ้าละไม่ได้ก็ไม่สูง
แต่นี้ไปจะนำนิทานสัตว์ ๕ เหล่า ผู้มีวาสนา มาเล่าให้ฟังพอเป็นคติ เรื่องมีอยู่ว่า มีนกพิราบตัวหนึ่งเป็นทุกข์โศกถึงเมีย เพราะเหยี่ยวมาโฉบเอาเมียของมันไปกิน มันเห็นโทษของความรัก ต้องการจะบรรเทาความโศกด้วยการรักษาศีล จึงปลีกไปรักษาศีลอยู่แต่ลำพังในสถานที่แห่งหนึ่ง
ต่อมา มีงูหลามตัวหนึ่ง กัดเอาวัวอุสุภราชตัวหนึ่ง ที่เที่ยวหากินหญ้าอยู่ริมชายป่า ให้ถึงแก่ความตาย โดยที่วัวตัวนั้นไปเหยียบถูกงูเข้า งูจึงโกรธแล้วกัดเอา พวกเจ้าของวัวไปเห็นเข้า เป็นทุกข์เศร้าโศกอยู่ ณ ที่นั้น งูมาคิดได้ว่า เจ้าของวัวเป็นทุกข์เพราะเราโกรธแล้วกัดวัวเขาตาย งูจึงคิดจะรักษาศีลเพื่อระงับความโกรธ แล้วเข้าไปรักษาศีลอยู่ในที่แห่งหนึ่งซึ่งไม่ไกลกันนักกับนกพิราบ
ภายหลัง มีหมีตัวหนึ่ง เที่ยวแสวงหาอาหารกินอยู่ในป่าทึบแห่งหนึ่ง เป็นอาหารอุดมสมบูรณ์ไปด้วยลูกก่อและน้ำผึ้งเป็นต้น เลยเพลินหากินไปจนเลยขอบเขตที่ตนเคยแสวงหามา หมานายพรานเห็นเข้าก็วิ่งไล่ เจ้าหมีวิ่งหนีแทบเอาตัวไม่รอด หมาเป็นสัตว์บ้าน มีเชาว์สู้หมีไม่ได้ หลงร่องรอยหมีจึงตามไม่ทัน หมีพ้นจากอิทธิพลของหมาไปได้อย่างหวุดหวิด แล้วหนีไปนอนซบเซาอยู่ในสุมทุมพุ่มไม้แห่งหนึ่ง จึงมาจินตนาว่า ที่เราได้รับความทุกข์ครั้งนี้ ก็เพราะเราไม่รู้จักประมาณในการแสวงหาอาหาร อย่าเลยเราจะไปรักษาศีลเพื่อบรรเทาความละโมบ คิดแล้วก็ไปรักษาศีลอยู่ไม่ไกลกันนักกับงูนั้น
ยังมีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง เที่ยวหาอาหารไปเจอช้างเถื่อนตายอยู่ตัวหนึ่ง สุนัขจิ้งจอกคิดว่าโชคของเราหนักหนาวันนี้ อาหารกองใหญ่จะกินกี่วันๆ ก็ไม่หมด คิดแล้วก็เข้ากัดกินเป็นธรรมดาอาหารมากสุนัขจิ้งจอกก็เหมือนกับสัตว์อื่นๆ จะต้องเลือกกินแต่ที่อร่อยๆ ก่อน เมื่อสุนัขจิ้งจอกเดินรอบกองอาหารมหึมา ก็ไปเห็นช่องทวารของช้าง โดยเข้าใจว่าตรงนี้แหละจะกัดทะลุ เข้าไปถึงเครื่องในเร็ว เครื่องในนี้เป็นอาหารอร่อยกว่าเนื้อทั้งหมด เจ้าสุนัขผู้เคราะห์ร้ายปราศจากปัญญามุ่งแต่อาหารอย่างเดียว พอกัดทะลุเข้าไปถึงเครื่องในแล้วก็กินเพลินไปเลย พอรู้สึกอิ่มหันตัวกลับออกมาไม่ได้เสียแล้ว ตกลงหมอบท่าเดียวอยู่ในกองอาหาร (ในท้องช้าง) เป็นเวลาหลายเดือน จนกว่าเนื้อหนังของช้างจะเปื่อยหลุดออกจากกัน สุนัขจึงจะออกมาได้ แต่ที่ไหนได้ขนหลุดหมด ยังเหลือแต่หนังแดงฉาดทั่วทั้งตัว เขาจึงมารำพึงว่า เออ! ที่เราได้รับทุกข์เวทนาแสนสาหัสครั้งนี้ ก็เพราะเราหลงในอาหาร อย่าเลยเราจะไปรักษาศีลเพื่อบรรเทาความหลง คิดแล้วเขาก็ไปรักษาศีลอยู่ ณ ที่ใกล้สัตว์ทั้ง ๓ นั้น
ณ ที่บริเวณสัตว์ทั้ง ๔ จำพวกไปรักษาศีลอยู่ เป็นที่อยู่ของฤษี มาเป็นเวลานาน ฤษีตนนั้น เช้าก็ออกเที่ยวแสวงหามูลผลาหารมาเลี้ยงชีพ เป็นประจำทุกวัน อยู่มาวันหนึ่งฤษีออกเที่ยวแสวงหามูลผลาหารแต่เช้า พอตกเย็นกลับมาถึงอาศรมที่อยู่ของตน ได้แลเห็นพระปัจเจกโพธิเจ้า ประทับนั่งอยู่บนอาสนะที่นั่งของตน ก็โกรธคิดว่าสมณะรูปนี้ดีวิเศษอย่างไร จึงบังอาจมานั่งอยู่บนที่นั่งของเรา แล้วก็ตะโกนไปด้วยมานะว่า เฮ้ย ! สมณะท่านนี้ดีอย่างไร จึงบังอาจมานั่งอยู่บนอาสนะของเรา ท่านได้ฟังคำนั้นแล้ว ท่านก็เหาะหนีไปโดยทางอากาศเสีย ฤษีได้เห็นดังนั้นก็มาจินตนาการว่า แหม! สมณะรูปนี้วิเศษนักหนา ถ้าหากเราไม่มีมานะ เข้าไปถามอรรถธรรมอันหนึ่งอันใดกับท่านแล้ว ก็จะได้ความรู้ความลาด บางทีอาจสำเร็จอย่างท่านก็ได้ นี้ก็เป็นเพราะมานะของเราท่านจึงเหาะหนีไป คิดแล้วจึงมาปรารภกับตนเอง อย่าเลยเราจะรักษาศีล เพื่อบรรเทามานะของตน แล้วก็รักษาศีลอยู่ ณ ที่นั้น
เมื่อฤษีเห็นสัตว์ทั้งสี่ มาอยู่รักษาศีลด้วยอาการสงบเสงี่ยมรวมกันอยู่ ณ บริเวณแห่งเดียวกัน จึงถามสัตว์เหล่านั้นว่า พวกเธอต่างเผ่ากันมารวมอยู่ ณ ที่แห่งเดียวกันนี้ เพื่อประโยชน์สิ่งใด? สัตว์เหล่านั้น ต่างก็ตอบตามความตั้งใจของตนๆ ดังแสดงมาแล้วแต่เบี้องต้น
สัตว์ดิรัจฉานถึงแม้จะเป็นอาภัพสัตว์ไม่สามารถจะทำดีให้ถึงมรรคผลนิพพานได้ก็จริง แต่บางตัวเมื่อรู้สึกเห็นโทษถึงความชั่วของตนแล้ว ก็ยังพยายามรักษาศีลเพื่อแก้ตัวละความชั่วนั้นเสีย ส่วนพวกเราเล่า เป็นมนุษย์มีสมัญญาว่า เป็นผู้มีใจสูงสามารถทำดีได้ทุกๆวิถีทาง และทำให้ดีที่สุดของกองทุกข์ก็ได้ เวลานี้เราเป็นพุทธมามากะอยู่แล้ว พากันมารักษาศีลฟังธรรมและมาบวชเป็นพระ เป็นเณร เป็นชี เมื่อยังละความรัก-ความโลภ-ความโกรธ-ความหลง และมานะทิฐิไม่ได้หรือไม่พยายามจะละเสียเลย พวกเราจะไม่เลวกว่าสัตว์ดิรัจฉานเหล่านั้นไปเสียอีกหรือ? น่าสลดใจบ้างหรือไม่ กิเลสเหล่านี้ได้ทำให้เป็นทุกข์เดือดร้อนมาแล้ว ในชาตินี้เองก็นับไม่ถ้วนไม่ต้องพูดถึงอดีต หรือ อนาคตชาติ
พวกเราพากันเข้ามาฝึกฝนอบรมในพุทธศาสนานี้ ก็เพื่อจะละกิเลสทั้งหลายเหล่านั้นนั่นเอง แต่เมื่อเข้ามาอบรมฝึกฝนกันจริงจังแล้ว หากยังละไม่ได้มีแต่จะพอกพูนกิเลสให้หนาแน่นทวีขึ้นทุกทีแล้ว ก็จะเป็นคนสกปรกด้วยกิเลส ผู้ดีมีศีลธรรมจะเข้าใกล้ไม่ได้ เหมือนกับสุกรนอนเกลือกคูถ เหม็นคุ้งทั้งตัว ราชสีห์เป็นสัตว์สะอาด เมื่อราชสีห์เข้าใกล้ไม่ได้เพราะเกลียดของโสโครก แต่สุกรกลับทะนงตัวหาว่าตนมีอำนาจเหนือราชสีห์ คนชนิดนั้นจะอยู่ ณ ที่ใด ไป ณ ที่ใดหาความสุขไม่ได้เลย เพราะไฟคือ กิเลส มีความรัก โลภ โกรธ หลง และมานะทิฐิตามเผาอยู่ตลอดเวลา จะเข้าในสังคมใดเขาก็รังเกียจ เนื่องจากกิเลสเหล่านั้นมันปิดบังไว้ ไม่สามารถปรับปรุงเข้ากับสังคมได้
พุทธศาสนาเป็นสถาบันฝึกฝนอบรมเพื่อสันติ แต่เมื่อนำเอากิเลสเหล่านั้นเข้ามา พาให้สร้างบาปกรรมแล้ว รู้สึกจะเป็นบาปมากกว่าสร้างในสถานที่อื่น เพราะกิเลสเหล่านั้นของแต่ละคน เมื่อสงบระงับไม่ได้ ทำให้รั่วไหลออกมารดคนอื่นที่เขาสะอาดๆ จะเป็นความสกปรกอย่างน่าเกลียดมาก เหมือนสุกรอยู่ในหลุมคูถ ซึ่งเขาเหล่านั้นไม่มีความรู้สึกอะไรเลย นอกจากจะเป็นความเกษมสำราญของเขา
วัดเป็นที่อบรมศีลธรรม แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในวัด ถูกกิเลสเหล่านั้นปกคลุมไว้เสียแล้ว ตนเองก็ไม่มีช่องทางจะมองเห็นศีลธรรมได้ แม้คนอื่นก็จะไม่มีโอกาสชี้ช่องทางให้เขาเห็นได้เหมือนกัน ใครจะพูดดีสอนดี มีเมตตาปรารถนาดีต่ออย่างไรๆ เขาจะมองไปในแง่ร้าย ทั้งหมดนี้มิใช่เป็นการปรักปรำ พูดตามความจริง ใครเป็นอย่างว่ามาแล้ว ต้องรู้ได้ด้วยตนเอง หรือเราเข้าไปในสังคมใดๆ ก็ตาม คงจะได้ประสบคนชนิดนี้มีอยู่ทั่วไป
เทศน์ให้ฟังนี้ เพื่อให้ทุกๆคนตรวจดูในตนของตนเอง ไม่มีใครจะเอามาให้เมื่อเรายังละไม่ได้ ไม่เห็นโทษ หรือเห็นแล้วแต่ยังไม่ยอมละ ก็อย่าไปโทษคนอื่นหรือโทษพระพุทธศาสนา ตลอดจนถึงขนบธรรมเนียมข้อบังคับกฎกติกา เป็นต้น ของเขา เพราะเขามีไว้อย่างนั้นแล้วตั้งแต่ก่อนเรายังไม่ได้เข้ามาอบรมฝึกฝน จงโทษตนเสียดีกว่า ว่าเราเข้ามานี้ผิดความประสงค์ของตนแล้ว ไม่ถูกต้องตามต้องการของตนเสียแล้ว แล้วก็ปลีกตัวเสียจากสถาบันหรือวัดนั้นออกไปเสีย
เพราะนอกจากจะไม่เป็นประโยชน์แก่ตนและคนอื่นแล้ว ยังเป็นอุปสรรคแก่การที่เขาจะดำเนินกิจการตามแนวโครงการในสถาบันและวัดของเขา ทั้งเป็นเครื่องขัดข้องเดือนร้อนใจตนอีกด้วย เป็นการมาสร้างบาปกรรมใส่สถาบันอันศักดิ์สิทธิ์และเคารพ ไม่สมควรอย่างยิ่ง เป็นความชั่วอันแสดงออกมาให้แก่ชาวโลกเห็นได้ชัด
สมัยพุทธกาลมีเรื่องเล่าไว้ ถึงเรื่องภิกษุทุศีลหลายรูปได้ฟังธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าแสดงถึงโทษของการทุศีล แล้วพากันเห็นโทษของการเป็นผู้ทุศีลของตนเกิดความเดือดร้อนถึงกับอาเจียนเป็นโลหิตออกมาฯ ตอนนี้ขอแทรกอีกนิด หากจะถามว่าที่ภิกษุเป็นเช่นนั้น มิใช่พระพุทธเจ้าทรงทำความเดือดร้อนให้แก่พระสาวกหรือ ขอเฉลยว่ามิใช่ แต่พระสาวกของพระองค์ทำความชั่วด้วยตนเอง แล้วก็เดือดร้อนตนเองต่างหาก เพราะได้ฟังธรรมเทศนาแล้วเห็นโทษแห่งความผิดที่ตนได้ทำไว้
ศาสดาทุกๆท่านในโลกนี้ ย่อมสอนให้ศาสนิกชนเห็นโทษแห่งความชั่วแล้วละเสีย แสดงให้เห็นคุณประโยชน์แห่งความดีแล้วให้กระทำความดีนั้น
แต่บางศาสนายอมรับถ่ายเอาบาป (ความชั่ว) ที่ศาสนิกชนของตนทำลงไปแล้วด้วยวิธีกรรมต่างๆ แต่พระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าไม่ยอมรับเอาความชั่ว ความดีของใครทั้งหมด ใครทำก็เป็นของๆคนนั้น ไม่ว่าชั่วหรือดี เป็นแต่ทรงสอนให้รู้จักคุณและโทษของความดีและความชั่วนั้นๆ แล้วก็ละหรือกระทำเอาเองอย่างเสรี ฉะนั้น ผู้ใดอยากชั่วแต่กลัวบาป และไม่อยากทำความดีเพราะมักง่ายขี้เกียจ ไปเข้าลัทธิศาสนาที่มีพระเจ้าล้างบาปให้ก็ดีเหมือนกัน แสดงมาวันนี้เพื่อให้เป็นข้อคิดว่าเราจะทำการอะไรลงไปในพื้นที่ดิน จำเป็นต้องปราบให้เรียบร้อยเสียก่อน เป็นต้นว่าจะปลูกบ้าน ทำนา ทำสวนก็ดี ถ้าพื้นที่ไม่เรียบร้อยแล้วทำลงไปย่อมไม่เป็นผลดีเลย
การเข้ามาอบรมฝึกฝน ในพระพุทธศาสนานี้ก็เหมือนกัน หากไม่ยอมสละกิเลสทั้งหลายมี รัก โลภ โกรธ หลง มานะและทิฐิ เป็นต้น ไว้นอกวัดเสียก่อนแล้วเขามาอบรมฝึกฝน ก็จะไม่ได้ผลตามประสงค์ นอกจากจะไม่ได้รับผลตามความประสงค์แล้ว ยังจะเป็นเครื่องเดือดร้อนแล้วก็กีดกันแนวนโยบายของตนและของสถาบันที่จะดำเนินต่อไปอีกด้วย
ฉะนั้น เมื่อพากันได้ฟังแล้ว ขอได้นำเอาหัวข้อธรรมมะนี้ไปพิจารณาและแก้ไขตนให้ถูกต้องตามธรรมที่แสดงมา ก็จะเป็นประโยชน์และความสุขแก่ตนๆ หากไม่ยอมรับพิจารณา หรือไม่ยอมแก้ไขแล้วหมดหนทาง ไม่มีใครจะช่วยได้ ดังแสดงมาด้วยประการนี้ ฉะนี้ ฯ
การศึกษาอบรมในพระพุทธศาสนา เป็นวิธีการบั่นทอน ชำระล้างกิเลสของตนๆ ให้เบาบางลงโดยลำดับ จนหมดสิ้นไปในที่สุด
[จบ โอวาทหลังปาติโมกข์ 01. วัด-วินัย]