โลกกับธรรมสัมพันธ์

พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย

คำนำ

หนังสือเล่มเล็กๆที่ท่านอ่านอยู่นี้เป็นผลของมือบอนที่ผู้เขียนไม่อยู่เปล่า ได้เขียนไว้นานหลายปีแล้ว เวลานี้ผู้เขียนแก่ชราภาพ เขียนแลพูดไม่ค่อยสะดวก สานุศิษย์คิดจะรวบรวมของเก่าๆที่ผู้เขียนได้เขียนไว้มารวบรวมให้เป็นเล่ม เพื่ออนุชนรุ่นหลังจะได้ศึกษาแลปฏิบัติตาม

สังขารร่างกายแก่ชราภาพย่อมเสื่อมคุณภาพทำงานอะไรไม่ค่อยได้ แต่ธรรมยิ่งแก่ก็ยิ่งมีคุณภาพดี ธรรมย่อมไม่ถึงซึ่งแก่ชราภาพ

พระนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาจารย์
วัดหินหมากเป้ง
๑๘ ธันวาคม ๒๕๒๙


โลกกับธรรมสัมพันธ์

พอท่านจับหนังสือเล่มนี้ยกขึ้นมาดูที่หน้าปกก็จะทายในใจได้ทันทีว่า บทความเบื้องต้นนี้ผู้เขียนจะพูดถึงเรื่องอะไร พอเปิดต่อไปหลังจากหน้าคำนำแล้ว ก็จะเข้าใจได้ทันทีว่า อ๋อ ท่านพูดถึงเรื่อง โลก มันเกี่ยวข้องด้วย ธรรม นี่ แน่นอนทีเดียว ไม่มีใครจะปฏิเสธได้สักคนเลยว่า คนเราที่เกิดมานี้จะไม่เอาวัตถุอันมีอยู่ในโลกนี้มาประกอบเป็นโครงสร้างตัวตนเป็นไม่มี (ธาตุทั้งสี่นี้แหละคือธรรม) แม้แต่สัตว์แลพืชติณชาติที่เกิดอยู่บนแผ่นดินนี้ทั้งหมดก็ไม่พ้นเอาวัตถุของโลกนี้มาประกอบจึงจะเกิดแลงอกงามขึ้นมาได้

ฉะนั้น โลกอันนี้จึงเป็นพื้นฐานที่รับรองของสัพพะสิ่งทั้งหลาย ผู้หรือสิ่งอันจะต้องเกิดขึ้น ทั้งของที่วิญญาณครองและหาวิญญาณครองมิได้ เมื่ออุบัติหรือเกิดปรากฏเป็นรูปร่างขึ้นมาแล้ว (ที่เรียกว่าสังขาร) ก็จะต้องอาศัยโลกนี้อยู่ต่อไปอีก ขณะเดียวกัน ก็จะต้องขุดค้น คุ้ยเขี่ยแทะเอาสะเก็ด เปลือกผิวของโลกนี้แหละมาเป็นเครื่องบำรุงหล่อเลี้ยง จึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ชั่วระยะหนึ่ง

หากเรือนร่างหรือวัตถุโลกที่เขาเหล่านั้นนำมาใช้อยู่นั้นวิปริตแปรปรวน ไม่สามารถจะรับภาระได้แล้วมันก็จะต้องแตกดับ แปรสภาพเข้าไปเป็นสภาพเดิมของมัน (คือธาตุทั้งสี่) สัตว์ผู้ยังมีหนี้สินติดพัวพันอยู่กับโลกนี้(คือบุญ-กรรม) ตายไปแล้วจะต้องกลับมาชดใช้หนี้สินโลกนี้อีก (คือมาเอาวัตถุโลกนี้มาประกอบแล้วมาบริโภควัตถุโลกนี้สืบต่อไป)

ตกลงว่าวัตถุของโลกนี้เป็นของกลาง มิใช่ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ใครจะถือเอาเป็นกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียวไม่ได้ ถึงจะถือเอาก็ไม่เป็นของตนได้แต่ผู้เดียวใครเกิดมาก่อนเอาไปใช้ก่อน และบริโภคชั่วระยะที่ยังดำรงอยู่นี้ เวลาแตกดับแล้วสละทิ้งไว้ในโลกนี้ตามเดิม คนทีหลังเกิดมาก็ต้องเอาของเขาทิ้งไว้นั้นมาประกอบเกิดแลบริโภคต่อไป

อนึ่ง ของที่บริโภคนำมาหล่อเลี้ยงในขณะที่ยังดำรงอยู่นั้น เมื่อถ่ายลงไปถมพื้นแผ่นดินนี้อีก กลายเป็นปุ๋ยหล่อเลี้ยงผักหญ้าแลลูกไม้ ผลไม้ต่างๆ ผู้ที่เกิดมาทีหลังก็จะต้องอาศัยของเก่าเขาเหล่านั้นบริโภคหล่อเลี้ยงให้เขาได้ทรงอยุ่ต่อไป ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันใช้บริโภควัตถุของโลกอยู่อย่างนี้ตลอดไปไม่มีที่สิ้นสุดไม่ทราบว่าใครเป็นผู้เกิดก่อนเกิดหลังแลใครบริโภคของใครกันแน่

ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่าโลกนี้กลม แต่พระองค์มิได้หมายความว่ากลมอย่างลูกมะพร้าวกลมเพราะไม่มีต้นมีปลาย ไม่ทราบว่าใครเกิดก่อนใคร ใครตายก่อนใคร และใครกินของใคร ใครกินก่อนกินหลัง ตกลงเรากิน เราถ่ายแล้วนำมากินอีก เราตายแตกดับสละทอดทิ้งไว้แล้ว คนหลังนำเอามาประกอบเกิดอีก แต่มันมาตรงตามความเป็นจริง คือโลกเป็นของกลม

พระพุทธเจ้าตรัสว่า มนุษย์และสัตว์ ตลอดถึงต้นไม้ใบหญ้าซึ่งเกิดมีอยู่ในโลกนี้ทั้งหมด อาจเป็นเลือดเนื้อและกระดูกของมารดา บิดา หรือบุตร ธิดา หลาน เหลน หรือตัวเราเองก็ได้ ซึ่งของเหล่านั้น เกิดจากธาตุทั้งสี่อันเป็นวัตถุของกลางของโลกนี้ ทุกคนเกิดมาก็ต้องมายืมเอาไปใช้ด้วยกันทั้งนั้น เหมือนกับธนบัตรของรัฐบาลที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ แต่ละใบบางทีเราอาจนำมาใช้หลายครั้งแล้วก็ได้ใครจะไปรู้ เราไม่สนใจเฉยๆ

พระองค์ทรงสอนให้เอ็นดูเมตตาสงสารซึ่งกันและกัน อย่าได้เห็นแก่ตัวนัก คนอื่นสัตว์อื่นก็คือส่วนหนึ่งของตัวเรานั่นเอง หรือมิฉะนั้นก็อาจเป็นจิตเป็นใจบิดามารดา ครูบาอาจารย์ บุตร หลาน ญาติมิตรของเราคนใดคนหนึ่งยังกำลังครองร่างก้อนนั้นอยู่ก็ได้ ธาตุทั้งสี่คือโลกอันนี้ จึงนับว่าเป็นของมีพระคุณแก่มนุษย์ชาวโลก ผู้ยังมีกรรมที่จะต้องมาเกิดอีกเป็นอันมาก

เมื่อเรามาศึกษาธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วก็จะเห็นว่า ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า พระองค์ก็สอนให้รู้เข้าใจเท่าทันในโลกธาตุ (คือตัวของคนเรานี้เอง) ฉะนั้น โลก กับธรรม จึงเกี่ยวเนื่องกันอยู่ตลอดกาลเป็นนิจ ในเมื่อจิตของเรายังไม่พ้นหรือเหนือจากโลกถึงแม้ที่พ้นจากโลกแล้วก็ตาม เมื่อท่านผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องเสวยวิบาก (คือเกี่ยวเนื่องอยู่กับโลก) ตามสภาพของมัน

โลกกับธรรมต่างก็เดินเข้าหาจุดหมายอันเดียวกันคือความสุข แต่วิธีเดินมันผิดกันไปคนละทาง ฉะนั้นผลมันจึงไม่เหมือนกัน คือโลกมีแต่จะเอาถ่ายเดียว คิดปรุงแต่งกอบโกยสะสมเอาๆหนักเข้าจนเป็นการเห็นแก่ตัว อันเป็นเหตุทำความเดือดร้อน เป็นทุกข์แก่คนอื่นไปก็มี แล้วก็ไม่มีเวลาอิ่มเวลาพอสักทีเสียด้วย แม่อายุจะสักร้อยปีตายไป ความอิ่มความพอก็ยังไม่มีที่สิ้นสุด ตายไปแล้วก็ยังเป็นหนี้ของโลกอยู่เลย (คือความบกพร่องอยู่) จึงเป็นทุกข์ทั้งแก่ตนแลคนอื่นด้วย

พระพุทธเจ้าทรงเห็นโทษในความไร้ค่าชีวิตของคนเรานี้ จึงทรงสอนว่าทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งมีอยู่ในโลกนี้แม้ที่สุดแต่ตัวของเราเอง มันเป็นเพียงของอาศัยชั่วคราวเท่านั้น ฉะนั้น เมื่อสิ่งนั้นๆ เกิดมีมาแล้วจงให้รู้อิ่มแลพอเป็น แล้วใช้แลสละให้เป็นประโยชน์ สมควรแก่ฐานะและหน้าที่ของมันเสีย

ในโลกนี้ธรรมล้วนๆย่อมไม่มี มีแต่โลกเจือด้วยธรรมทั้งนั้น

ผู้เกิดมาเป็นหนี้บุญคุณของโลก

หากผู้เกิดมาในโลกนี้มาเอาวัตถุของโลกนี้ไปใช้ไปบริโภคแล้วหมดสิ้นไปๆ ไม่ได้ถ่ายทอดทิ้งไว้เสียเลย เหมือนเขาขุดเอาน้ำมันมาเผาทิ้งแล้วไซร้ โลกนี้ก็จะเป็นของว่างเปล่า ที่ไหนเลยพวกเราจะได้เกิดมาดังเห็นกันอยู่ทุกวันนี้

เราเกิดมาเป็นคน จะเป็นหญิงเป็นชาย รูปร่างจะสวยจะงามงามหรือขี้เหร่อย่างไร ก็อย่าพากันดีใจเสียใจเลย นั่นมันมิใช่ของเรา มันเป็นของกลางของโลกดังกล่าวแล้ว ขอแต่ให้มันครบครันใช้ได้ก็พอแล้ว เหมือนกับธนบัตรของรัฐบาลดังกล่าว จะเก่าจะใหม่ ขาดบ้างเล็กน้อย ราคาก็ยังเท่าเดิม เว้นแต่ขาดมากใช้ไม่ได้ก็เอาคืนรัฐบาล ท่านก็ยังรับเปลี่ยนใช้(คือตาย)

อนึ่ง ตัวของเราเกิดมาเป็นกาย สิทธิดีว่าธนบัตรรัฐบาลเสียอีก คือไม่ต้องไปขวนขวายหามา แต่มันเป็นของเกิดมาคอยรับใช้เราอยู่ก่อนแล้ว แขน ขา หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใครไปหามาจากไหน เราเกิดมามีครบพร้อมแล้ว และใช้ได้อย่างดีเลิศด้วย ของเหล่านี้ใครจะเอาอันอื่นมาใช้แทนก็ไม่เหมือน แล้วก็ใช้ได้ทนนานเป็นพิเศษ บางเครื่องใช้ทนนานร่วมร้อยปีก็มี แล้วจะเอาอย่างไรกันอีก จึงเรียกว่า ผู้เกิดมาได้ชื่อว่าเป็นหนี้บุญคุณของโลกอย่างยิ่ง

ถ้าผู้มาระลึกถึงหนี้บุญคุณของโลกดังกล่าวมานี้แล้ว คิดจะตอบแทนหนี้บุญคุณของโลก ก็จะได้ชื่อว่าเป็นคนดี การตอบแทนก็ไม่มีอะไรหรอก เป็นแต่ผู้มาพิจารณาเห็นว่าเราเป็นหนี้บุญคุณของโลกอย่างไรบ้าง แล้วมาพยายามใช้หนี้นั้นๆ ตามกำลังความสามารถของตนๆก็พอแล้ว ซึ่งเราจะใช้ให้หมดนั้น เป็นหมดไม่ได้แน่เพราะบุญคุณของโลกมีมากมาย

ก่อนที่จะใช้หนี้บุญคุณของโลกนั้น จงมาดูที่ตัวของเรานี้ก่อนว่าเราเอาอะไรของโลกมาใช้ แล้วจะต้องใช้อย่างไรจึงจะหมดหนี้ ให้เห็นเป็นจุดๆตอนๆไป จึงจะใช้ถูกแลหมดสิ้นไปได้ คือให้พิจารณาดังนี้

เอาเฉพาะ ตา ก่อน ตา เป็นวัตถุของโลกที่เราเอาใช้อยู่นี้ บิดา มารดาเป็นผู้นำมาใช้ประดิษฐ์ประสิทธิ์ประสาทให้เราใช้ แล้วเราใช้ได้ประโยชน์แลมีคุณค่าแก่เราสักกี่มากน้อย ผู้ที่เขียนไม่จำเป็นต้องพรรณนา ทุกคนหลับตาพิจารณาเอาเองก็รู้ หากไม่มีตา หรือใช้ตาเทียมแล้วจะขัดข้องอย่างไร ตากายสิทธิ์นี้ผู้มอบให้เรา(คือบิดา มารดา) ท่านเรียกค่าตอบแทนอะไรกับเราไหม เมื่อพิจารณาไปก็เห็นว่าไม่มี มีแต่จะช่วยบำรุงแลเพิ่มการรักษาให้ดียิ่งๆขึ้น

ดังจะเห็นได้เมื่อตาเราเจ็บ บิดา มารดาเราจะเป็นทุกข์เดือดร้อน วิ่งหาหมอหายา หมดเท่าไรไม่ว่าขอแต่ให้ตาลูกหายก็แล้วกัน เมื่อตาเป็นฝ้าเป็นฟางสายตาสั้นก็จะรีบหายาแว่นมาให้ใส่ เมื่อตาผ่องใสสว่างดีอยู่แล้วก็จะหาชาดหาอายแชโดว์มาป้ายมาทาเพื่อให้สวยงามขึ้น

อาการที่บิดา มารดาทำกับบุตร ธิดาดังกล่าวนี้มันเป็นการเพิ่มหนี้ให้แก่ลูกหนี้โดยเจ้าหนี้มิได้ร้องขออะไรเลย แต่เป็นที่น่าสงสารเจ้าหนี้ซึ่งลูกหนี้มิได้รำลึกถึงคุณของเจ้าหนี้เลย ลงทุนทำการบ้านงานเรือนให้ดูก็ไม่เอาใจใส่ หาหนังสือมาให้เรียนก็ไม่อ่าน ส่งเข้าโรงเรียนก็หนีโรงเรียนไปหาคบเพื่อนเกเรเสีย พยายามลงทุนให้จนกระทั่งเติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาวเป็นท้าวเป็นนางขึ้นมา ลูกหนี้บางคนเริ่มจะโกงเจ้าหนี้ขึ้นมาแล้วก็มี พยายามอบรมให้ใช้ทุนที่ลงทุนไปแล้วกลัวว่าจะเอาไปล่มจม ยิ่งอบรมยิ่งแนะนำเท่าไหร่ลูกหนี้แทนที่จะคิดถึงบุญคุณเจ้าหนี้ว่าท่านหวังดี กลับเห็นไปว่าโบราณไม่ทันกาลสมัย สู้ตนไม่ได้

ดูแต่นักศึกษา นักเรียนสมัยนี้ก็แล้วกัน โดยมากใช้สังคมแบบตะวันตก นานหนักเข้าบางคนตัวเองก็พลอยตกไปตามด้วย

ที่จริงชาวเอเชียเป็นชาติที่เจริญมาก่อนแล้ว มีขนบธรรมเนียมแลประเพณีวัฒนธรรม ศีลธรรมดีงามเรียบร้อยมาก่อนนานแล้ว ชาวตะวันตกเพิ่งเปลี่ยนสภาพจากเป็นป่ามาเมื่อไม่กี่พันปีนี้เอง พอเขาเปลี่ยนจากสภาพป่ามาเป็นชาวบ้านใหม่ ชาวเอเชียเลยเห็นว่าเป็นของแปลกแลโก้ดี เลยไปเอาแบบของเขามาใช้จึงได้เลอะกันไปใหญ่ ส่วนเขาจะมีความรู้สึกอะไร เพราะเขาเพิ่งเปลี่ยนจากป่ามาใหม่ๆเหมือนกับเราเอาลิงมาหัดนุ่งกางเกงนุ่งเสื้อเล่นละครนั้นเอง ความจริงคนเป็นผู้ไปหัดลิงให้เล่นละคร แต่พอลิงหัดได้บ้างไม่ได้บ้างคนกลับชอบใจว่าลิงเล่นดีกว่าคน

เมื่อเรามาระลึกได้ว่าตัวของเรานี้เป็นของมีค่ามหาศาล จะเป็นคน จะมีลูกเมีย จะเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี หรือเป็นเจ้าเป็นนายมีคนนับหน้าถือตาทั้งบ้านทั้งเมือง ทั้งโลกก็ดี แม้จะเป็นพระเป็นสงฆ์ มีผู้คนกราบไหว้ทั่วฟ้าดินแดนก็ดี ย่อมมาจากวัตถุของโลก มีบิดามารดาเป็นผู้ผลิตให้แล้ว จึงไม่ควรนำเอาของมีค่าที่เราได้มาเป็นกรรมสิทธิ์นี้ไปใช้ในทางที่ไม่สมควร

เบื้องต้นเมื่อเราได้มาใหม่ๆ เมื่อไม่รู้จักวิธีใช้ก็ควรศึกษาและไต่ถามคอยฟังคำแนะนำของท่านผู้มอบให้เรา จึงถือเสียว่าท่านเคยใช้มาก่อนแล้ว ต้องเข้าใจแลชำนาญกว่าเราแน่ ไม่ควรจะฝ่าฝืนแลดื้อด้านถือเอาแต่ความเห็นแก่ตัว ในระยะนี้ถึงแม้ชั่วประการใดก็เรียกว่า ยังอยู่ในอารักขาของท่านอยู่นั้นเอง

ผู้กตัญญูรู้จักบุญคุณของผู้อื่นที่ทำประโยชน์ให้แก่ตน จะเป็นให้กำเนิดเกิดมาเป็นคนก็ดี ให้วิชาความรู้แลหาอาชีพให้แก่เราจนเป็นหลักก็ดี แม้ที่สุดแต่ให้คำพูดด้วยวาจาในเวลาที่เราได้รับความเดือดร้อน อันเป็นที่ระงับทุกข์ด้วยสุนทรวาทีก็ดี เมื่อคิดจะทดแทนเพราะเป็นหนี้บุญคุณของท่านแล้ว เบื้องต้นไม่มีอะไร ขอแต่ให้เราแสดงความเคารพเชื่อฟัง แลพูดจาด้วยถ้อยคำซื่อสัตย์สุจริต เชื่อถ้อยฟังคำที่ท่านสอนด้วยความเมตตาเอ็นดูเท่านี้ก็จะเป็นการตอบแทนหนี้สินบุญคุณของท่านเหล่านั้นได้อย่างมากทีเดียว เมื่อทำตนได้อย่างว่านี้แล้วเรื่องอื่นๆจึงค่อยว่ากันทีหลัง บางทีบางท่านเมื่อเราทำตนได้ดังว่านี้แล้ว อาจหลุดหนี้ทั้งหมดก็ได้

ที่ว่ามาทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องของโลก แลเมื่อคนเราเกิดมาแล้วมันก็เป็นหนี้บุญคุณของอย่างนี้ทุกคนไป ถึงแม้จะเป็นเรื่องของโลกก็จริงแล แต่เมื่อผู้มาพิจารณาเห็นบุญคุณของโลกตามเป็นจริงแล้ว นั่นมันกลายเป็นธรรมไป

ธรรมคือความจริง ผู้ปฏิบัติตามธรรมคือปฏิบัติตามความจริง ย่อมได้รับความสันติสุข ดังผู้เกิดมาในโลกนี้รู้จักบุญคุณของโลก ไม่ทำตนให้เป็นคนชั่วรกโลกเขา

คนรกโลก ถ้าเป็นนาก็เป็นนารกร้าง ไม่เป็นประโยชน์แก่มนุษย์โลกเลย แต่มนุษย์รกยังซ้ำร้ายกว่านารกเสียอีก คือมนุษย์มีปากมีท้อง เมื่อขี้เกียจเสียอย่างเดียวแล้วท้องก็กลวง คนท้องกลวงนี้แหละมันเป็นเสี้ยนหนามในโลก ลักเล็กขโมยน้อย ฉ้อโกง เบียดบังไม่เลือก ของใครเอาตะบัน ขอแต่ให้ได้มาจุกท้องกลวงของมันก็แล้วกัน

ตกลงคนเราไม่ดีเสียอย่างเดียวแล้ว จะทำอะไรก็ไม่ดีทั้งนั้น เกิดในตระกูลผู้ดีมีหน้า มีธรรมประจำตระกูลดีเข้าศึกษาในสถาบันที่ดีมีระเบียบ สอนดีเข้าทำงานในสถานที่งานดีๆ มีเงินเดือนสูง แต่ตนเองประพฤติไม่ดีก็ไร้ค่าทั้งนั้น แม้แต่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาก็ไปทำลายความดีในที่นั้นๆ หมด

โดยเฉพาะในพระศาสดา ผู้เขียนอยากจะให้ความเห็นของคนบางคนไว้ ณ ที่นี้ด้วยว่า เมื่อคนบางคนไม่ดีมาแต่เดิมแล้ว เวลามาบวชในพระศาสดาเข้าธาตุแท้ความเลวของมันก็ยังติดตัวมาอยู่นั้นเอง มิใช่มาบวชแล้วมันจะหลุดออกไปหมดเหมือนกับเราถูขี้ไคลก็หาไม่ ทั้งระเบียบธรรมวินัยบังคับก็มีอยู่ ครูบาอาจารย์ก็พร่ำสอนอยู่ แต่มันไม่ยอมรับทำตามไม่ทราบจะทำอย่างไร

ผู้มามองคนไม่ดีเช่นนั้นก็หาว่าพุทธศาสนาไม่ดีว่าเอาๆ พุทธศาสนาคล้ายกับว่าเป็นสถาบันสุดท้ายอบรมคนชั่วก็ว่าได้ เพราะหมดทางแล้วจึงส่งเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา คนดีๆ เช่นผู้ที่ถือว่าตนดีแล้วทำไมไม่เข้ามาบวชเป็นตัวอย่างนำเขาบ้าง ผู้เขียนเข้าใจว่าผู้เห็นเช่นนั้นยังศึกษาพุทธศาสนาไม่ซึ้งเข้าถึงแก่นของจริง ความจริงแล้วพุทธศาสนาเป็นคำสอนที่ดีเลิศผู้มายอมทำตามเป็นผู้ประเสริฐจนพ้นจากทุกข์ไปแล้วก็นับไม่ถ้วน แต่นี่คนไม่ดีต่างหาก เข้าที่ไหน ทำอะไรเลยไม่ดีทั้งนั้น

เมื่อผู้เกิดมาในโลกนี้รู้จักคุณค่าของตน แล้วทดแทนบุญคุณของโลกและบิดา มารดา ผู้ผลิตเราให้เกิดมา แม้ไม่มากมายอะไร เบื้องต้นเพียงแต่แสดงความเคารพแลพูดจาด้วยถ้อยคำซื่อสัตย์ สุจริต เชื่อถ้อยฟังคำสอนที่ท่านสอนด้วยความเมตตาเอ็นดู ดังได้อธิบายเบื้องต้นเท่านี้ โลกนี้มันก็เกิดสันติสุขแล้ว คือจะต้องหมดหนี้สินซึ่งกันและกัน ไม่ต้องทวงหนี้บุญคุณกันอีก นั่นโลกเลยกลายเป็นธรรมไป

สังขารย่อมแตกดับไป แต่ธรรมย่อมทรงอยู่ตามเดิม

ธรรมเป็นของแทรกอยู่กับโลก

ได้กล่าวถึงเรื่องของโลกมาพอควรแล้ว หวังว่าผู้อ่านทั้งหลายคงพอเข้าใจได้แล้ว หรืออาจเข้าใจได้มากกว่าที่แสดงมาแล้วนี้ก็ได้ เพราะทุกคนได้เกิดมาในโลกนี้ด้วยกันทั้งนั้น และได้ประสบการณ์มาด้วยกันมากบ้างน้อยบ้าง ฉะนั้น ความรู้ในด้านทางโลกอาจไม่เหมือนกัน

ที่เขียนมาแล้วนั้นเป็นเพียงเอกเทศทัศนะส่วนหนึ่งขอผู้เขียนเท่านั้น ผู้อ่านหรือผู้ที่ได้ประสบการณ์มากกว่านี้ อาจได้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องของโลกมากกว่านี้ก็ได้ นั่นเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล ผู้ซึ่งเกิดมาแล้วจะต้องใช้โดยเสรี ผู้เขียนซึ่งได้เขียนมาแล้วเป็นเพียงเพื่อจะชี้ว่า โลก กับธรรม มันแฝงกันอยู่เท่านั้นเอง แล้วจะชี้ให้เห็นว่า อันนั้นเป็นโลก อันนั้นเป็นธรรม

ตอนนี้ผู้อ่านอย่าได้เข้าใจผิดว่า ผู้เขียนมาตั้งแต่งแบ่งโลกแบ่งธรรม เปล่าด๊อก ผู้เขียนมิใช่พระเจ้าผู้สร้างโลกสร้างธรรม เป็นแต่จะสมมติเป็นภาษาว่าอันนั้นคือโลก อันนั้นคือธรรม เพื่อให้เข้าใจในความหมายของคำอธิบายในคำพูดของหนังสือเล่มนี้ เพื่อประโยชน์แก่การปฏิบัติธรรมเท่านั้น

บัดนี้จะได้พูดถึงเรื่องธรรมอันเป็นข้อปฏิบัติ ซึ่งเป็นความประสงค์ในหนังสือเล่มนี้

อันว่าธรรมๆนี้นั้นก็มิใช่อะไรที่ไหนด๊อก แท้จริงก็คือความจริง ของจริงธรรมดาๆนี่เอง อย่างที่พวกเราเคยพูดกันอยู่ทั่วๆไปว่า คนเราเกิดมาแล้วก็จะต้องเจ็บ ต้องตายเป็นธรรมดา มนุษย์ สัตว์ เกิดมาแล้วก็จะต้องมีการสมสู่คู่รักสืบพันธุ์กันเป็นธรรมดา ผู้บวชเป็นพระเป็นเณรแล้วก็ต้องสึกออกมาเป็นธรรมดา มีกลางคืนแล้วต้องมีกลางวัน เป็นธรรมดามีร้อนแล้วก็ต้องมีเย็นเป็นธรรมดา ดังนี้เป็นต้น ถ้าเช่นนั้นจะต้องแยกออกให้เป็นโลกเป็นธรรมทำไมกัน มันมีเหตุผลที่ท่านผู้รู้ทั้งหลายจะต้องแบ่งแยกออกใช้ให้ได้ต่างกัน คือดังนี้

โลกเปรียบเหมือนแร่ของธาตุต่างๆ มีแร่เหล็ก แร่ดีบุก เป็นต้น แร่เหล่านั้น แหละเป็นมูลฐานคลังรักษาเนื้อเหล็กแลดีบุกไว้ได้นานแสนนาน ยิ่งนานหลายร้อยล้านปีเท่าไร เนื้อของเหล็กแลดีบุกก็ยิ่งจะเพิ่มทวีคุณภาพให้ดีขึ้น ไม่มีการเสียหายแม้แต่น้อยเลย

โลกอันนี้ก็เหมือนกัน ตั้งมาได้เป็นร้อยล้าน พันล้าน แสนล้านปีมาแล้วก็ตาม ธรรมแท้คือของจริง ความจริงยังตั้งมั่นอยู่ในโลกนั้นเอง เมื่อไม่มีผู้รู้ฉลาดคิดค้นเอาธรรมของจริงออกมาใช้ ก็ใช้โลกนั้นไปพลางก่อน

เช่น คนผู้เกิดมาก็ต้องเอาธาตุทั้งสี่ (คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม) อันเป็นวัตถุของโลกดังกล่าวแล้ว มาปรุงเข้าเป็นก้อนรูปกาย เป็นหญิงเป็นชายตามกรรมวิธีของนายช่าง (คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน) แล้วก็นำมาใช้ว่านั่นลูกกู นั่นหลานกู นั่นพ่อกู นั่นแม่กู นั่นผัวกู นั่นเมียกู ฯลฯ อะไรต่ออะไรจิปาถะ สนุกเพลินไปตามเพลง ถ้ามีใครพูดว่านั่นไม่ใช่ (บอกตามเป็นจริง) แล้วก็ไม่ชอบเอาเลย หากมีผู้มาสนับสนุน (ยุให้หลง) ว่านั่นลูกของเธอ หลานของเธอ พ่อแม่ของเธอ ลูกผัวของเธอแล้วชอบใหญ่ บางทีอาจมีของกำนัลด้วยซ้ำไป

หากวัตถุโลกก้อนนั้นแหละมันจะแสดงเป็นธรรมขึ้นมาอีกแง่หนึ่ง เช่นเกิดวิกลวิการแปรปรวน แตกหักบิ่นบุบสลายไปตามธรรมดาของมันเข้า ผู้ที่ถือว่าโลกเป็นโลก เป็นของกูๆๆอยู่นั้น ไม่เข้าไปเห็นเป็นธรรมว่าเป็นธรรมดา มันจะต้องเป็นไปอย่างนั้นเสียแล้ว จะต้องเป็นทุกข์กลุ้มใจแสนสาหัส

ถ้าหากผู้มาเห็นความจริงตามเป็นจริงว่า รูปกายทั้งตัวของเราแลของผู้อื่นทั่วไปก็ตามที่เกิดมานี้ไปยืมเอาวัตถุของโลกมาประกอบเพื่อใช้ชั่วคราว เมื่อถึงกาลแล้วก็ต้องส่งกลับคืนที่เดิม เหมือนเรายืมของคนอื่นมา เจ้าของเขามาทวงจะไม่ให้เขาจะได้หรือ เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงดังนี้แล้วก็หมดเรื่อง

นี่แล ท่านผู้รู้ทั้งหลายท่านเห็นประโยชน์แลคุณค่าของการแยกโลกแลธรรม แล้วใช้ให้ถูกต้องตามหน้าที่ของมัน จึงจะอำนวยคุณประโยชน์ให้แก่ผู้ใช้ตามประสงค์

ความแก่หง่อมของร่างกาย ยิ่งแก่เท่าไรธรรมก็ยิ่งเจริญเท่านั้น

ใช้วัตถุของโลกให้คุ้มค่า

ดังได้กล่าวมาแล้ว เราเกิดมาได้ชื่อว่าเป็นหนี้บุญคุณของโลกอยู่ เพราะเราเป็นผู้มาสู่โลกนี้ แล้วก็มาเอาวัตถุของโลกนี้มาประกอบเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา ทั้งก็ยังได้อาศัยโลกนี้อยู่ต่อมา เมื่อเรารู้ตัวว่าเราเป็นหนี้บุญคุณของโลกแล้ว พยายามทดแทนบุญคุณหนี้สินของโลก ก็จัดเป็นธรรมประการหนึ่ง

ธรรมแท้ที่พระองค์ทรงสอนนั้นมิได้สอนอื่น แท้จริงก็คือสอนให้เห็นแลเข้าใจชัดแจ้งในเรื่องความเป็นอยู่แลเป็นไปของโลกนั้นเอง จึงจะหายกังวลสงสัยพ้นจากความข้องเกี่ยวในโลก ไม่มีทุกข์ ผู้ที่ไม่เข้าใจแลรู้เรื่องของโลกตามเป็นจริงเท่านั้นที่เป็นทุกข์

คนเราเกิดมาที่ว่าเป็นทุกข์ๆนั้น มันทุกข์ตรงที่ไม่เข้าใจแลรู้เรื่องของโลก แล้วเข้าไปยึดเอาโลกมาเป็นตนเป็นตัว เป็นของเรานี้เท่านั้น ผู้ที่เข้าไปยึดเอาธาตุสี่ขโมยธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่เอามาประกอบเป็นตนเป็นคนขึ้นมานี้ มันเป็นของกลาง ไม่มีใครเป็นกรรมสิทธิ์สักคนเดียว เราตายแล้วทอดทิ้งไว้ในโลกนี้ตามเดิม คนเกิดมาทีหลังก็จะเอามาประกอบให้เป็นคนต่อไปอีกดังกล่าวแล้ว ใครหลงเข้าไปยึดถือเอามาเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัวคนนั้นได้ชื่อว่าไปขโมยเอาของกลางมาเป็นของส่วนตัว จะต้องมีโทษได้รับทุกข์มากเหมือนกับคนผู้ที่ไปขโมยเอาของหลวงแผ่นดิน

อทินนาทาน กับ อุปาทาน เป็นการขโมย

อทินนาทาน แปลว่าถือเอาซึ่งสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้อนุญาตให้

อุปาทาน แปลว่าเข้าไปยึดเอา คือยึดเอาสิ่งที่มีอยู่เป็นของกลางนั้นเอง

จัดเป็นขโมยด้วยกันทั้งสองอย่าง ต่างกันแต่อทินนาทาน เป็นการขโมยของส่วนบุคคล ส่วนอุปาทานเป็นการขโมยของส่วนกลาง

ถ้าจะพูดถึงด้านทำให้ศีลขาดแล้ว อทินนาทาน ทำลายศีลในมรรคแปดในอริยมรรคด้วย ส่วนอุปาทาน ทำลายเฉพาะศีลในอริยมรรคเท่านั้น เพราะอริยมรรค ศีล สมาธิ ปัญญา มารวมอยู่ในที่เดียวแลจุดเดียวคือ อริยมรรคที่กำลังเดินตรงไปอยู่นั้น อยู่ในท่าภาวนาจิต มิได้มีการเคลื่อนไหว ทางกาย แลวาจาแต่อย่างไร เช่น

สัมมาวาจา ก็หมายเอาความวิตกไปในทางพระกรรมฐาน อุบายให้เกิดสมาธิแลวิปัสสนาโดยเฉพาะ มิได้พูดออกปากเป็นถ้อยคำอะไรออกมาเลย

สัมมากัมมันโต ก็หมายเอาการงานของจิตที่ทำหน้าที่ให้เป็นไปในสมาธิแลวิปัสสนาเช่นเดียวกัน มิได้หมายเอาการกระทำด้วยกายแลวาจาแต่อย่างไร เพราะกายแลวาจากำลังสงบเต็มที่อยู่แล้ว

สัมมาอาชีโว ก็หมายความเป็นอยู่ที่ในขณะที่ การวาจา แลใจสงบ แล้วดำเนินไปในมัคควิถี มีบัญญัติคิดค้นเหตุผลในธรรมนั้นๆ มิได้หมายเอาการดิ้นรนขวนขวายแสวงหาสัมมาอาชีวะอย่างสามัญชนทั่วไปเข้าใจนั้น

ศีลในมรรคแปดแลศีลทั่วไป ปุถุชนแลกัลยาณปุถุชน ตลอดถึงพระอริยเจ้าย่อมกระทำได้ ด้วยการพยายามรักษาแลทำให้เกิดมีขึ้นได้ เพราะเกี่ยวเนื่องถึงกายแลวาจาอันเป็นของภายนอก แลเป็นเครื่องกำจัดกิเลสส่วนกลางได้ ถ้าจะใช้ศีลกำจัดกิเลสส่วนละเอียดแล้ว ก็จะต้องใช้ศีลในอริยมรรคดังได้กล่าวแล้วข้างต้น

หรือจะเรียกว่า ศีลห้า ศีลแปด ศีลสิบของสามเณร แลศีล ๒๒๗ ของพระภิกษุ ตลอดถึงศีลในมรรคแปดดังกล่าวแล้วเป็นโลกียศีลก็ได้ แล้วก็สามารถนำโลกนี้ให้เจริญงอกงามเกิดสันติสุขได้เหมือนกัน ส่วนศีลในอริยมรรคเป็นโลกุตตรศีล เหตุนั้น อทินนาทานในอุปาทานจึงไม่สามารถจะทำมรรคผลให้เกิดขึ้นได้ เพราะศีลตัวอทินนาไม่บริสุทธิ์

มีเรื่องเล่าไว้ว่า พระเถระรูปหนึ่งไปทำเจริญกรรมฐานภาวนาอยู่ในป่ารูปเดียวในฤดูดอกไม้บาน เย็นวันหนึ่งท่านได้กลิ่นดอกไม้อันลมพัดมาถูกจมูกท่านเข้า ทำให้ท่านชื่นใจอยากดม จึงเดินเข้าไปหาต้นดอกไม้แล้วสูดเอากลิ่นดอกไม้นั้นให้สมความต้องการ ขณะนั้นเทวดาได้ทักท้วงท่านว่า “ทำไมพระผู้เป็นเจ้าไปขโมยของเขาเล่า” พระเถระตอบว่า “เรามิได้ขโมยของใคร เราดมดอกไม้ต่างหาก” เทวดาได้ย้ำว่า “ท่านไปสูดเอากลิ่นดอกไม้ มิได้สำรวมในทวารนี่”

เป็นอันว่าผู้เจริญในอริยมรรคมิได้สำรวมในทวารทั้งหก หลงเข้าไปติดในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ ทำศีลในอริยมรรคไม่ให้บริสุทธิ์ย่อมเป็นอุปสรรคแก่การเจริญมรรคโดยแท้

อาหารที่สัมผัสทางกายกินอิ่มพอได้ แต่อาหารทางใจ(มโนสัญเจตนาหาร) กินไม่รู้จักอิ่มจักพอสักที

ตาเห็น รูป ที่สวยๆ ชอบใจรักใคร่ยินดีในรูปนั้น แล้วนำเอาภาพของรูปนั้นเข้าไปเก็บไว้ที่จิต ทำให้เกิดความพอใจรักใคร่ยินดีในภาพนั้น ก็จัดเป็นอาการขโมยอย่างหนึ่ง เพราะเจ้าตัวรูปเขาไม่ได้รู้ แลเขาไม่ได้ยินยอมให้เราเอามายึดไว้ แม้รูปที่ไม่สวยไม่น่ารักใคร่ชอบใจก็เช่นเดียวกัน หากไปเกิดความเกลียดชังสะอิดสะเอียนเบือนหน้าหนีเข้า ก็เป็นการฉ้อโกงเหมือนกัน หากเจ้าของรูปเรารู้เข้าก็จะยิ่งเกิดโทษหนัก

เสียง ที่ได้ยินทางหู จะเป็นเสียงดีเสียงน่าชอบใจหรือเสียงด่าให้เจ็บใจ ดูถูกเหยียดหยามไม่น่าฟังอะไรก็ตาม หากเราเอามาเก็บยึดไว้ที่จิต เสวยเป็นอารมณ์อยู่นั่นก็เป็นขโมยอีกส่วนหนึ่งเหมือนกัน เพราะเสียงเป็นของไม่มีตัวตน เป็นลมเป็นแล้งไปแล้ว แต่เราไปโกงเอามาปั้นให้เป็นอาการจริงจังขึ้นมา ทั้งๆที่ เสียงนั้นมันก็หายไปนานแล้ว ถึงแม้เราจะอัดเทปไว้ก็เอาเถอะ เมื่อเปิดเทปเทปขึ้นมาเสียงก็จะปรากฎ แต่เสียงนั้นก็ไม่มีตนมีตัว ถึงจะไปดูที่เทปก็จะเห็นแต่เทปเท่านั้น

การโกงเอาเสียงเป็นของไร้ค่ามาก แย่มากกว่าการขโมยแลฉ้อโกงอย่างอื่น เพราะขโมยแลฉ้อโกงแล้วก็ไม่เห็นได้อะไรติดมือมาเลย จะมีแต่ชอบใจแลกลุ้มใจอยู่คนเดียว ผู้ที่โกงเอาเสียงมายึดไว้ในจิตของตนจึงเป็นคนประเภทที่น่าสงสารมาก เสียงที่น่ารักใคร่ชอบใจก็ไม่มีใครรู้เห็นแลร่วมสนุกด้วย เสียงที่น่าเศร้าโศกแลเป็นทุกข์กลุ้มใจก็ไม่มีใครจะช่วยแบกหาม แลปลดเปลื้องช่วยได้ ทนทรมานคนเดียวแท้ๆ

กลิ่น ที่สูดเข้าไปทั้งดีแลไม่ดีที่เกิดจากของภายนอกแล้วทำให้ จิต ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง ชอบก็ขโมยนำมาเก็บไว้ที่จิต ไม่ชอบก็ขโมยนำมาเก็บไว้ที่จิต ความจริงจมูกน่าสงสารมากกว่าจิตอีกเสียด้วยซ้ำเพราะกลิ่นเข้าไปตามลมแล้ว ลมหายใจก็มีช่องเดียวคือ จมูกเท่านั้น กลิ่นเหม็น กลิ่นหอม กลิ่นไม่ดี จมูกต้องรับภาระทั้งนั้น คนอื่นจะรับแทนไม่ได้ จะปิดกลิ่นชั่ว เปิดรับเอาแต่เฉพาะกลิ่นดีก็ไม่ได้ เดี๋ยวจะขาดใจตาย แต่นี่จิตไปรับเอาเป็นภาระทั้งหมด กลิ่นชั่วไม่ดีแทนที่จะปล่อยวางเสีย แต่กลับไปรับเอาหนักกว่ากลิ่นดี จนถึงให้เกลียดโกรธ หากกลิ่นนั้นมาจากบุคคลจะต้องเกิดเรื่องกันแน่ นี่เพราะโทษเราไปโกงเอากลิ่นมาโดยไม่ชอบธรรมนั่นเอง

รส หมายเอารสที่เกิดจากสัมผัสทางลิ้น ให้รู้สึกเผ็ดเค็ม หวาน เปรี้ยว อร่อย แลไม่อร่อย แล้ว จิต ไปชิงเอามาไว้เป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัว ไม่ยอมให้ลิ้นมีกรรมสิทธิ์จึงจัดว่าเป็นการโกงเอากรรมสิทธิ์ของเขามาเป็นของตัว จึงจัดเป็นการอทินนาทานส่วนหนึ่งในศีลของอริยมรรค ถึงแม้ลิ้นจะไม่รู้สึกรสอะไรเลยในบางครั้ง แต่จิตก็จะไปบังคับให้ลิ้นมีรสอยู่ร่ำไป

จิตนี้จึงเป็นนักต้ม นักโกงดีนัก ซอกแซกเข้าไปลักฉ้อโกง ต้มตุ๋นเขาเสียทุกซอกทุกมุม ไม่ว่าของเล็กของใหญ่ มีรูปร่างหรือไม่ เอาดะไปเลย ถ้าใครไปคบมันเข้าแล้ว ฉิบหายทุกราย ฝิ่น กัญชา สุรา ยาเมา แม้แต่ผงเฮโรอีนนิดเดียวมันก็ขโมยเอาจนได้ จิตนี้จะเรียกว่ามหาโจรในโลกก็ได้

สัมผัส หมายเอาสัมผัสที่กระทบกาย เมื่อกายเป็นวัตถุที่ปรากฎก็จำต้องมีวัตถุภายนอกมากระทบ การกระทบก็จะต้องมีทั้งสิ่งที่พอใจแลไม่พอใจ ก็เป็นการขโมยอีกนั่นแหละ เพราะเขาหากกระทบกันตามธรรมดาของเขาอยู่อย่างนั้น แต่ จิต เราไปขโมยเอาของเขามาครองเสียคนเดียว โดยที่กายเราไม่ได้รู้แลอนุญาตให้แต่อย่างไร เหมือนลมพัดต้นไม้ คลื่นกระทบฝั่ง จิตคนเราไปกลัวและหนวกหู แต่ต้นไม้ถึงแม้จะหักขาดกระจุยไปต้นไม้ก็มิได้มีความรู้สึกอะไร หรือตะฝั่งก็มิได้หนวกหู

ธรรมล้วนๆย่อมตั้งอยู่ในโลกไม่ได้นาน

ตาขี้ขโมยชอบลักเล็กขโมยน้อย คอบจับจ้องล่อๆลับๆจับผิดเขาเก่ง หาซอกซอนขโมยของที่เขาซุกๆซ่อนๆเผลอไม่ได้ขโมยเลย

หูขี้ขโมยตัวฉกรรจ์ ชอบซุกอยู่ที่ชื้นแฉะ ดักลักขโมยเอาแต่เสียงที่เย็นๆ ถูกกระทบร้อนเข้ากระโดดผึงวิ่งราวเลย

นักเลงอุปาทานเหล่านี้ ถึงแม้กฎหมายบ้านเมืองจะไม่ควบคุมถึง แลเจ้าหน้าที่จะไม่ตามล่าจับก็ตาม แต่มีโทษหนักกว่าโทษทางบ้านเมืองตั้งหลายร้อยหลายพันเท่า เพราะจะต้องถูกกามเทพลงทัณฑ์ ให้ติดคุมขังอยู่ในกามภพนี้นานแสนนาน

ผู้ไม่เข้าใจในเหตุผลของความตาย เมื่อถึงความตายจึงเป็นทุกข์ เพราะอาลัยในความตาย แต่ผู้ตายกลับสบายแฮ เพราะไม่ต้องตายอีก

[จบ โลกกับธรรมสัมพันธ์: หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี]