ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ สัมพันธ์

พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย

ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ สัมพันธ์
(ต้นฉบับลายมือหลวงปู่เทสก์)
PDF 44.6M ⤓


คำนำ

คณะศิษยานุศิษย์ปรารภในการที่จะจัดพิมพ์หนังสือแจกเป็นอนุสรณ์ เนื่องในการทำบุญฉลองอายุครบ ๙๐ ปีบริบูรณ์ของผู้เขียน ในวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๓๕ นี้ ด้วยเหตุผลว่าหนังสือที่พิมพ์มานานแล้วไม่พอกับการแจกจ่าย ได้มาหารือกับผู้เขียนว่าจะพิมพ์หนังสืออะไรดี ผู้เขียนพิจารณาเห็นว่าหนังสือที่ได้เขียนไว้ที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน คือเรื่อง ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ สัมพันธ์ ซึ่งสมควรที่ผู้ปฏิบัติธรรมกรรมฐานพึงรู้เรื่องโดยถ่องแท้ ด้วยเหตุว่า ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ สัมพันธ์ นี้เป็นทั้งสมถะและวิปัสสนา จึงสมควรแท้ที่ผู้ปฏิบัติพึงทำความเข้าใจ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติธรรมให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป ผู้เขียนจึงเลือกหนังสือธรรมะเรื่องดังกล่าวให้ไปจัดพิมพ์แจกในงานครั้งนี้

ขออนุโมทนาด้วยเป็นอย่างยิ่งแก่คณะศิษยานุศิษย์ทั้งหลายที่มีศรัทธาและกุศลเจตนาพิมพ์หนังสือแจกเป็นธรรมทานในครั้งนี้

พระราชนิโรธรังสี
๑ เมษายน ๒๕๓๕

ธรรมกถา

ธรรมกถาซึ่งจะอธิบายต่อไปนี้จะได้ยกธรรมสามกองคือ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ ขึ้นมาตั้งเป็นกระทู้แล้ว จะได้อธิบาย เป็นลำดับ ต่อไป เพราะธรรมสามกองนี้ เป็นของจำเป็น แก่ผู้ใครในธรรม ไม่ว่าทางโลกียะแลโลกุตตร จำเป็นต้องดำเนิน แลค้นคว้าพิจารณา ตามหลัก ธรรมสามกองนี้ทั้งนั้น จึงจะบรรลุตามเข้าหมายของตนได้ อนึ่ง ธรรมสามกองนี้ ก็เป็นของที่มี พร้อมอยู่ ในตัวของคนเรา แต่ละคนอยู่แล้ว เมื่อเรามารู้เท่าเข้าใจในธรรมสามกอง ซึ่งมีอยู่ในตัว ของเรานี้แล้ว ก็จะรู้ธรรมอื่นๆ ซึ่งนอกออกไปจากตัวของเรา ซึ่งมีสภาพเช่นเดียวกันนี้ หากหลงใหลเข้าใจผิดไปในธรรมสามกอง ซึ่งมีอยู่ในตัวของเรานี้แล้ว ธรรมอื่นๆซึ่งมีอยู่ นอกออกไปจากตัวของเรา ก็จะหลงใหลเข้าใจผิดไปหรอก

ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ สัมพันธ์

มนุษย์ตัวตนคนเรา ที่เกิดขึ้นมาแล้วนี้ ย่อมมีของสามอย่างนี้เป็นสมบัติเบื้องต้น ก่อนจะมีสมบัติใดๆทั้งสิ้น แล้วก็เป็นของสัมพันธ์ เกี่ยวเนื่องกันโดยเฉพาะด้วย จะดีจะชั่ว จะสุกจะดิบ จะเป็นโลกเป็นธรรม ก็ต้องมีของสามอย่างนี้เสียก่อนเป็นมูลฐาน เป็นเครื่องวัด เครื่องหมายแสดงออกมาว่าอะไรเป็นอะไร ผู้ถือว่าเราว่าเขา ว่าสุขว่าทุกข์ ก็ถืออยู่ในองค์ของสามอย่างนี้ หลงอยู่ในห้วงของสามอย่างนี้ ผู้จะรู้แจ้งเห็นจริงจนเป็นสัจจะ ก็รู้แจ้งเห็นจริงในของสามอย่างนี้ ของสามอย่างนี้เป็นเครื่องวัดเครื่องเทียบโลกแลธรรมได้เป็นอย่างดี ผู้ไม่เห็นของสามอย่างนี้ ก็ตกไปจมอยู่ในของสามอย่างนี้ หรือผู้ที่เห็นแล้ว แต่ยังไม่ชัดแจ้ง ก็ปล่อยวางไม่ได้ เข้าไปยึดเอามาเป็นของตัวก็มี เรียกย่อๆ ว่าผู้เห็นตนเป็นโลกแล้วย่อมไปดึงเอาของสามอย่างนั้น หรือสิ่งเกี่ยวเนื่องของสามอย่างนั้นมาเป็นโลกไปด้วย ส่วนผู้ที่ท่านเห็นว่าตนเป็นธรรมแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแต่สักว่าธรรมเท่านั้น หาได้มีตนมีตัวหรืออะไรทั้งหมดไม่ เช่นธาตุสี่ ก็เป็นสักแต่ว่าธรรมธาตุ ขันธ์ ๕ ก็เป็นสักว่าธรรมขันธ์ ส่วนอายตนะ ๖ ก็รวมอยู่ในธรรมทั้งสองนี้

ฉะนั้น ต่อไปนี้ จะได้อธิบายถึงธรรมสามอย่างที่กล่าวข้างต้นนั้น เพื่อประโยชน์แก่ผู้ใคร่ในธรรม แล้วจะได้นำไปพิจารณาเพื่อเป็นแนวทาง นำไปสู่ความสว่างของชีวิตต่อไป ธรรมสามอย่างนั้นได้แก่ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๖

หากจะถามว่า ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ มีเท่านี้หรือ ทำไมจึงแสดงแต่ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ เท่านั้น ตอบว่า ธาตุมีมาก เช่น ธาตุ ๖ อายตนะ ๑๘ หรือสิ่งทั้งปวงที่มีอยู่ในโลกนี้ เรียกว่า ธาตุ ทั้งหมด ดังที่ท่านเรียกว่า “โลกธาตุ” แม้พระนิพพาน ท่านก็เรียกว่า นิพพานธาตุ

ขันธ์ ก็มีมากเหมือนกัน ขันธ์แปลว่ากอง ว่าเหล่าหรือหมู่หมวด ท่านแสดงภูมิของสัตว์ ที่ยังมีกิเลส เวียนอยู่ในโลกนี้ไว้ว่า ต้องเกิดอยู่ใน ภพที่มีขันธ์ ๕ ได้แก่มนุษย์และต่ำลงไปกว่ามนุษย์ ตลอดถึงนรก ๑ ขันธ์ ๔ ได้แก่เทพผู้ไม่มีรูป ๑ ขันธ์ได้แก่พรหมผู้มีรูป ๑ รวมความจริงแล้ว โลกนี้พร้อมเทวโลก แลพรหมโลก ท่านก็เรียกว่าขันธ์โลก ส่วนข้อความแห่งธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว เป็นหมวดหมู่ ท่านก็เรียกว่าขันธ์ทั้งนั้น ที่เรียกว่าพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มี ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ดังนี้เป็นต้น

ส่วนอายตนะนี่ ก็แยกออกไปจากธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ แต่มีหน้าที่การงานมากไปกว่าที่แสดงย่อๆ ก็เพราะต้องการจะแสดงแต่เฉพาะ ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ อันเป็นมูลฐานล้วนๆ เท่านั้น

ธาตุ ๔

ธาตุ ๔ เป็นวัตถุอันเป็นที่ตั้งมูลฐานของสิ่งทั้งปวง แม้แต่ธรรมทั้งหลายที่เป็นนิยานิกธรรม อันจะดำเนินให้ถึงวิมุติด้วยสมถะวิปัสสนา ก็จะหนีจากธาตุสี่นี้ไม่ได้ แต่ธาตุ ๔ เป็นวัตถุธาตุล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับนามธรรมแลกิเลสใดๆ เลย ท่านจำแนกออกเป็นกองๆ ตามลักษณะของธาตุนั้นๆ

เช่น สิ่งใดที่มีอยู่ในกายนี้มีลักษณะข้นแข็ง ท่านเรียกว่า ธาตุดิน มี ๑๘ อย่าง คือ ผม ๑ ขน ๑ เล็บ ๑ ฟัน ๑ หนัง ๑ เนื้อ ๑ เอ็น ๑ กระดูก ๑ เยื่อในกระดูก ๑ ม้าม ๑ หัวใจ ๑ ตับ ๑ พังผืด ๑ ไต ๑ ปอด ๑ ไส้ใหญ่ ๑ ไส้น้อย ๑ อาหารใหม่ ๑ อาหารเก่า ๑ (ถ้าเติมกะโหลกศีรษะ และมันสมอง ศีรษะเข้าด้วยก็เป็น ๒๐ พอดี แต่ที่ไม่เติม เพราะไปตรงกับกระดูก และเยื่อในกระดูก จึงยังคง เหลือ ๑๘)

ธาตุน้ำ สิ่งใดที่มีลักษณะเหลวๆ ท่านเรียกว่า ธาตุน้ำ มี ๑๒ คือ น้ำดี ๑ น้ำเสลด ๑ น้ำเหลือง ๑ น้ำเลือด ๑ น้ำเหงื่อ ๑ นั้นมันข้น ๑ น้ำตา ๑ น้ำมันเหลว ๑ น้ำลาย ๑ น้ำมูก ๑ น้ำมันไขข้อ ๑ น้ำมูตร ๑

ธาตุไฟ สิ่งใดที่มีลักษณะให้อบอุ่น ท่านเรียกว่า ธาตุไฟ มี ๔ คือ ไฟทำให้กายอบอุ่น ๑ ไฟทำให้กายทรุดโทรม ๑ ไฟช่วยเผาอาหารให้ย่อย ๑ ไฟทำความกระวนกระวาย ๑

ธาตุลม สิ่งใดที่มีลักษณะพัดไปมาอยู่ในร่างกายนี้ สิ่งนั้นท่านเรียกว่า ธาตุลม มี ๖ คือ ลมพัดขึ้นเบื้องบน ทำให้มึน งง หาว เอื้อมอ้วกออกมา ๑ ลมพัดลงข้างล่างทำให้ระบายเผยลม ๑ ลมในท้อง ทำให้ปวดเจ็บท้องขึ้นท้องเฟ้อ ๑ ลมในลำไส้ ทำให้โครกคราก คลื่นเหียน อาเจียน ๑ ลมพัดไปตามตัว ทำให้กายเบา แลอ่อนละมุนละไม ขับไล่เลือด และโอชาของอาหาร ที่บริโภคเข้าไปให้กระจายซึมซาบไปทั่วสรรพางกาย ๑ ลมระบายหายใจเข้าออก เพื่อยังชีวิตของสัตว์ให้เป็นอยู่ ๑ หรือจะนับเอาอากาศธาตุคือช่องว่างที่มีอยู่ตัวของเราเช่น ช่องปาก ช่องจมูก เป็นต้น เข้าด้วยก็ได้ แต่อากาศธาตุ ก็เป็นลมชนิดหนึ่งอยู่แล้ว จึงสงเคราะห์เข้าในธาตุลมด้วย

สมมุติว่าเป็น

มนุษย์ทั้งหลาย ที่เราๆ ท่านทั้งหลายที่เห็นกันอยู่นี้ ถ้าจะพูดตามเป็นจริงแล้ว มิใช่อะไร มันเป็นแค่สักว่าก้อนธาตุมารวมกันเข้าเป็นก้อนๆหนึ่งเท่านั้น มนุษย์คนเราพากันมาสมมติเรียกเอาตามชอบใจของตน ว่านั่นเป็นคน นั่นเป็นสัตว์ นั่นเป็นนั่น เป็นนี่ต่างๆ นานาไป แต่ก้อนอันนั้น มันก็หาได้รู้สึกอะไรตามสมมติของตนไม่ มันมีสภาพเป็นอยู่อย่างไร มันก็เป็นอยู่อย่างนั้นตามเดิม

อย่างไปสมมติว่าหญิง ว่าชาย ว่าหนุ่ม ว่าแก ว่าสวย ไม่สวย ก้อนธาตุอันนั้นมันก็ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย หน้าที่ของมัน เมื่อประชุมกันเข้าเป็นก้อนแล้ว อยู่ได้ชั่วขณะหนึ่ง แล้วมันก็ค่อยแปรไปตามสภาพของมัน ผลที่สุดมันก็แตกสลายแยกกันไปอยู่ตามสภาพเดิมของมันเท่านั้นเอง ใจของคนเราต่างหาก เมื่อความไม่รู้เท่าเข้าใจตามเป็นจริงแล้ว ก็ไปสมมติว่า เป็นคน เป็นหญิง เป็นชาย สวย-ไม่สวย สวยก็ชอบใจรักใคร่ อยากได้มาเป็นของตน ไม่สวย ก็เกลียด เหยียดหยาม ดูถูกไม่ชอบใจ ไม่อยากได้อยากเห็น ใจไปสมมติเอาเอง แล้วก็ไปหลงติดสมมติของตัวเอง เพิ่มพูนกิเลส ซึ่งมันหมักหมมอยู่แล้ว ให้หนาแน่นขึ้นอีก กิเลสอันเกิดจากความหลงเข้าใจผิดนี้ ถ้ามีอยู่ในจิตสันดานของบุคคลใดแล้ว หรืออยู่ในโลกใดแล้ว ย่อมทำบุคคลนั้น หรือโลกนั้น ให้วุ่นวายเดือดร้อนมากแลน้อย ตามกำลังพลังของมัน สุดแล้วแต่มันจะบันดาลให้เป็นไป ฯ

ธาตุล้วนๆ

ความจริงธาตุ ๔ มันก็เป็นธาตุล้วนๆ มิได้ไปก่อกรรมทำเข็ญให้ใครเกิดกิเลสหลงรักหลงชอบเลย ถึงก้อนธาตุจะขาวจะดำสวยไม่สวย มันก็มีอยู่ทั่วโลก แล้วก็มีมาแต่ตั้งโลกโน่น ทำไมคนเราพึ่งเกิดมาชั่วระยะไม่กี่สิบปี จึงมาหลงตื่นหนักหนา จนทำให้สังคมวุ่นวาย ไม่ทราบว่าอะไรเป็นอะไร มืดบอดยิ่งกว่ากลางคืน ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าของพวกเราทั้งหลาย ผู้ทรงประสงค์ความสันติสุขแก่โลก จึงทรงจำแนกสมมติ ที่เขาเหล่านั้นกำลังพากันหลงติดอยู่เหมือนลิงติดตัง ออกให้เป็นแต่สักว่าธาตุ ๔ ดังจำแนกมาแล้วข้างต้น หรือจะเรียกว่า พระองค์ทรงบัญญัติให้เป็นไปตามสภาพของเดิม เพื่อให้เขาเหล่านั้นที่หลงติดสมมติอยู่แล้ว ให้ค่อยๆ จางออกจากสมมติ แล้วจะได้เห็นสภาพของจริง บัญญัตินี้ไม่เป็นตนเป็นตัว เป็นสภาพธรรมอันหนึ่ง แล้วบัญญัติเรียกชื่ออ เป็นเครื่องหมายใช้ชั่วคราวเท่านั้น ถ้าผู้มาพิจารณา เห็นกายก้อนนี้ เป็นสักแต่ว่าธาตุ ๔ แล้ว จะไม่หลงเข้าไปยึดเอาก้อนธาตุมาเป็นอัตตาเลย อันเป็นเหตุให้เกิดกิเลสหยาบช้า ฆ่าฟันกันล้มตายอยู่ทุกวันนี้ ก็เนื่องจากความหลง เข้าไปยึดก้อนธาตุว่าเป็นอัตตาอย่างเดียว

ผู้ใคร่ในธรรมข้อนี้ จะทดลองพิจารณาให้เห็นประจักษ์ ด้วยตนเองอย่างนี้ก็ได้ คือ พึงทำใจให้สงบเฉยๆ อยู่ อย่าได้นึกอะไร แลสมมติว่าอะไรทั้งหมด แม้แต่ตัวของเรา ก็อย่านึกว่า นี่คือเราหรือคน แล้วเพ่งเข้ามาดูตัวของเรา พร้อมกันนั้น ก็ให้มีสติทำความรู้สึกอยู่ทุกขณะว่า เวลานี้เราเพ่งวัตถุสิ่งหนึ่ง แต่ไม่มีชื่อว่าอะไร เมื่อเราทำอย่างนี้ได้แล้ว จะเพ่งดูสิ่งอื่น คนอื่น หรือถ้าจะให้ดีแล้ว เพ่งเข้าไปในสังคมหมู่ชนมากๆ ในขณะนั้น อาจทำให้เกิดความรู้สึกอะไรขึ้นมาในใจแปลกๆ และเป็นสิ่งน่าขบขันมาก อย่างน้อยหากท่านมีเรื่องอะไรหนักหน่วง และยุ่งเหยิงอยู่ภายในใจของท่านอยู่แล้ว เรื่องทั้งหมดนั้นหากจะไม่หายหมดสิ้นไปทีเดียว ก็จะเบาบาง แลรู้สึกโล่งใจของท่านขึ้นมาบ้างอย่างน่าประหลาดทีเดียว

หากท่านทดลองดูแล้ว ไม่ได้ผลตามที่แสดงมาแล้วนี้ ก็แสดงว่าท่านยังทำใจให้สงบ ไม่ได้มาตรฐานพอจะให้ธรรมเกิดขึ้นมาได้ ฉะนั้นจึงขอให้ท่านพยายามทำใหม่ จนได้ผล ดังแสดงมาแล้ว แล้วท่านจะเกิดความเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า เป็นคำสอนที่ นำผู้ปฏิบัติให้ถึงความสันติได้แท้จริง ฯ

อนึ่ง คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นคำสอนเพื่อสันติ ผู้ที่ยังทำใจของคนให้สงบไม่ได้แล้ว จะนำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นสันติ มาพิจารณาก็ยังไม่เกิดผล หรือมาตั้งไว้ ในใจของตน ก็ยังไม่ติด

สภาพเดิมของธาตุ

ฉะนั้น จึงขอเตือนไว้ ณ โอกาสนี้เสียเลยว่าผู้จะเข้าถึงธรรม ผู้จะเห็นธรรม รู้ธรรม ได้ธรรม พิจารณาธรรมในธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งที่แสดงมาแล้ว และกำลังแสดงอยู่ หรือที่จะแสดงต่อไปนี้ก็ดี ขอได้ตั้งใจทำความสงบเพ่งอยู่เฉพาะในธรรมนั้นๆ แต่อย่างเดียว แล้วจึงเพ่งพิจารณาเถิด จึงจะเกิดความรู้ความเข้าใจในธรรมนั้นๆ อย่างถูกต้อง

เรื่อง ธาตุ ๔ เป็นสภาวธรรมเป็นจริงอยู่ตามธรรมชาติแล้ว แต่คนเรายังทำจิตของตนไม่ให้เข้าถึงสภาพเดิม (คือความสงบ) จึงไม่เห็นสภาพเดิมของธาตุ ธาตุ ๔ เมื่อผู้มาพิจารณา ให้เห็นตามความเป็นจริงแล้ว จะเห็นว่า ธาตุเป็นสักแต่ว่าธาตุ มันมีสภาพเป็นอยู่เช่นไร มันก็เป็นอยู่เช่นนั้นตามสภาพของมัน ธาตุมิได้ก่อกวนให้ใครเกิดกิเลสความรักแลความหวัง หรือโลภโกรธหลงอะไรเลย ใจของคนเราก็เป็นธาตุเหมือนกัน เรียกว่ามโนธาตุ หากผู้มา พิจารณาให้เห็นสิ่งทั้งปวง เป็นแต่สักว่าธาต ุคือเห็นธาตุภายใจ (คือกายก้อนนี้) และธาตุภายนอก (คือนอกจากกายของเรา) และมโนธาตุ (คือใจ) ตามเป็นจริงแล้ว ความสงบสุข ก็จะเกิดมีแก่เหล่าประชาสัตว์ทั่วหน้ากัน สมตามพุทธประสงค์ที่พระพุทธองค์ตั้งปณิธานไว้ ทุกประการ

ขันธ์ ๕

เมื่อได้อธิบายธาตุ ๔ มาพอสมควรแล้ว ต่อจากนี้ไปจะได้อธิบายขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นของเกี่ยวเนื่องกันมา ธาตุ ๔ เป็นวัตถุธาตุล้วนๆ มิได้เกี่ยวเนื่องด้วยใจ คนเราถ้ามีธาตุ ๔ ล้วนๆ ไม่มีใจแล้ว ก็ไร้ค่าหาประโยชน์มิได้ หรือจะพูดให้สั้นๆ ที่เรียกว่าคนตายนั้นเอง ขันธ์ คือกองแห่งธรรม ในตัวของคนเรานี้ ท่านจัดกองแห่งธรรมไว้ ๕ กอง

กองรูป ได้แก่ธาตุ ๔ ดังอธิบายมาแล้ว เรียกว่ารูปขันธ์

อีก ๔ กอง เรียกว่านามขันธ์ คือ เวทนาขันธ์ ๑ สัญญาขันธ์ ๑ สังขารขันธ์ ๑ วิญญาณขันธ์ ๑

อายตนภายใน ๖ มีตาเป็นต้น ประสบกับอายตนะภายนอก ๖ มีรูปเป็นต้น แล้วเกิดความรู้สึกเป็นสุขบ้างทุกข์บ้าง หรือโสมนัส โทมนัส อุเบกขาเฉยๆ เรียกว่าเวทนาขันธ์ฯ

อายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ ประสบกันเข้าแล้ว เกิดความรู้สึกขึ้นมา ดังอธิบายมาแล้วข้างต้น แล้วจำได้หมายรู้ในอารมณ์นั้นๆ แม้จะนานแสนนาน ทั้งที่เป็นอดีต แลอนาคต หรือปัจจุบัน เรียกว่าสัญญาขันธ์ฯ

จิตชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากอายตนะทั้งสองนั้น ประสบกันก็ดี หรือเกิดลอยๆ ขึ้นมา แล้วคิดนึกฟุ้งซ่าน ปรุงแต่งไปต่างๆ นานา จนหาที่จบลงไม่ได้ เรียกว่าสังขารขันธ์ หมายถึงสังขารจิตโดยเฉพาะ แต่ถ้าเป็นการตรึกตรองในเรื่องนั้นๆ จนเห็น ถ่องแท้ ชัดเจนหมดกังขา ด้วยปัญญาอันชอบแล้ว เรียกว่า “ธัมมวิจย” มิได้เรียกสังขารขันธ์ฯ

วิญญาณมีมากอย่าง

วิญญาณในปฏิจจสมุปบาท เป็นวิญญาณนำเอาขันธ์ทั้ง ๕ มาปฏิสนธิ คือวิญญาณตัวนั้น ต้องมีขันธ์ทั้ง ๕ พร้อมมูลมาในตัว จึงจะมาอุบัติในภูมิขันธ์ ๕ ได้ ถ้ามี ๔ ก็ไปอุบัติในภูมิขันธ์ ๔ คือมีแต่นามไม่มีรูป ความจริงรูป ท่านก็เรียกรูปจิตเหมือนกัน แต่เป็นรูปละเอียด พ้นเสียจากรูปขันธ์ที่อธิบายมาแล้วข้างต้น ถ้ามีหนึ่ง คือมีแต่เฉพาะ วิญญาณตัวเดียว ก็ไปอุบัติใน “เอกโอปปาติก” ที่เรียกว่าพรหมลูกฟัก คือมีแต่รูปจิตอย่างเดียวนั้นเองฯ

วิญญาณทำหน้าที่ในอายตนะได้แก่ ความรู้สึกในชั้นแรกของอายตนะทั้งสองประสบกัน แต่ไม่ถึงกับจำอารมณ์ หรือเสวยอารมณ์นั้นๆ การจำอารมณ์เป็นหน้าที่ของสัญญา การเสวยอารมณ์เป็นหน้าที่ของเวทนา วิญญาณชนิดนี้จะเรียกว่าวิญญาณธาตุก็ได้ฯ

ส่วนวิญญาณในขันธ์ ๕ เป็นวิญญาณนามบัญญัติล้วนๆ ยังไม่ได้ทำหน้าที่ใดๆ เหมือนกับขันธ์อื่นๆ

ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตัวกิเลส

ขันธ์ ๕ ก็เหมือนกันกับธาตุ คือไม่ใช่ตัวกิเลส แลไม่ได้ทำให้ใครเกิดกิเลส แต่ท่านจัดเป็นประเภทแห่งรูปธรรม-นามธรรม เป็นกองๆ ไว้ เพื่อให้รู้ว่า นั่นรูป นั่นนาม เท่านั้น กิเลสเกิดขึ้น เพราะผู้มาหลงสมมติ แล้วเข้าไปยึดเอาขันธ์ว่าเป็นตัวของตน หรือตนเป็นขันธ์บ้าง ต่างหาก

เมื่อจะพูดให้เข้าใจง่ายแล้ว ความที่เข้าใจผิดหลงไปยึดเอาขันธ์ ๕ ว่าเป็นของตนของตัว หรือเห็นว่า ตัวของตนเป็นขันธ์ ๕ บ้าง มิฉะนั้น ก็เห็นว่าขันธ์ ๕ นอกออกไปจากคน หรือคนนอกไปจากขันธ์ ๕ บ้าง ความเห็นอย่างนั้นแล จึงทำให้เข้าไปยึดถือจนเกิดกิเลสขึ้นเป็นทุกข์

ในเมื่อขันธ์เหล่านั้น เป็นไปตามปรารถนาแล้ว ก็ชอบใจ เพลิดเพลิน หลงระเริง ลืมตัว มัวเมา ประมาท จนเป็นเหตุให้ประกอบบาปกรรม ความชั่วด้วยประการต่างๆ หากขันธ์เหล่านั้น ไม่เป็นไปตามปรารถนาก็ไม่ชอบใจ เป็นทุกข์โทมนัสด้วยประการต่างๆ ไม่เห็นตามสภาพความเป็นจริงของขันธ์นั้นๆ ซึ่งมันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมันอยู่อย่างนั้น

ธรรมเกิดจากเหตุ

ธรรมที่พระอัสสชิแสดงแก่พระสารีบุตร เมื่อท่านยังเป็นนักบวชนอกพระศาสนา ครั้งพบกันทีแรก ว่า ธรรมของพระสมณะโคดมทรงแสดงว่า “ธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุ เมื่อเหตุดับ สิ่งนั้นก็ดับไป” ดังนี้

รูปขันธ์เกิดจากอวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม ผู้มีปัญญามาพิจารณาเห็นแจ้งชัดด้วยตนเองแล้ว ว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นเหตุแห่งรูป วิชชาเกิดขึ้นอย่างนั้นแล้ว อวิชชาก็ดับไป ธรรมทั้งหลายมีรูปเป็นต้น ที่มีอยู่แล้วก็กลายเป็นวิบากไป ที่จะเกิดใหม่อีกก็ไม่มี

กิเลสแลทุกข์ทั้งหลาย ย่อมเกิดขึ้นเพราะความหลงในขันธ์ แล้วเข้าไปยึดเอาขันธ์อัตตา ดังแสดงมาแล้ว ฉะนั้นพระพุทธองค์จึงตรัสว่า

ภารหเว ปญฺจักขนฺธา
ขันธ์ ๕ เป็นภาระจริง

ภาราหาโร จ ปุคคโล
แต่บุคคลก็ยังถือภาระไว้

ภาราทานํ ทุกขํ โลเก
การเข้าไปยึดถือเอาภาระไว้ เป็นทุกข์ในโลก

ภารนิกเขปนํ สุขํ
การปล่อยวางภาระเสีย เป็นความสุข

นิกขิปิตวา ครุ ภารํ
บุคคลปล่อยวางภาระเสียได้แล้ว

อญฺญํ ภารํ อนาทิย
ไม่เข้าไปถือเอาสิ่งอื่นเป็นภาระอีก

สมูลํ ตณหํ อพฺพุยห
เป็นผู้รื้อถอนตัณหากับทั้งรากได้แล้ว

นิจฺฉาโต ปรินิพฺพุโต ติฯ
เป็นผู้หมดความอยากแล้วปรินิพพาน ดังนี้ฯ

ขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์

ในพุทธพจน์นี้ แสดงให้เห็นชัดอยู่แล้วว่า ขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์อยู่แล้วโดยธรรมชาติ เมื่อผู้ใดเข้าใจผิด คิดว่าเป็นความสุข แล้วหลงเข้าไปยึดไว้ ผู้นั้นจะได้รับความทุกข์เดือดร้อนอย่างยิ่ง เปรียบเหมือน ผู้เห็นเปลวความร้อนของก้อนเหล็กแดง ว่าเป็นของสวยงาม หลงชอบใจเข้าไปกอดเอาด้วยความรัก ความร้อนของก้อนเหล็กแดงนั้น จะมิได้ผ่อนความร้อน แล้วยอมรับด้วยความปราณีเลย ความร้อนของมันมีอยู่เท่าไร มันก็จะแผดเผาเอาผู้นั้น ให้ไหม้เป็นเถ้าผงไปตามเคยฉะนั้น สมกับพุทธพจน์ว่า “สังขารา ปรมา ทุกขา – สังขารทั้งหลาย เป็นทุกข์อย่างยิ่ง”

การเห็นเหตุของทุกข์

หากจะมีคำถามว่า เป็นทุกข์เพราะอะไร? ก็ต้องตอบว่า เป็นทุกข์เพราะความหิว ความไม่รู้จักพอ ความหิว ความไม่รู้จักพอ ไม่ว่าจะเป็นส่วนร่างกาย หรือจิตใจ เป็นทุกข์ทั้งนั้น เมื่อความอิ่ม ความพอของจิตใจเกิดขึ้นมาแล้ว ความสงบสุขของใจ ก็จะเกิดขึ้นมาทันที แล้วจะมองเห็นความเกิดดับ ของขันธ์ตามความเป็นจริงดังอุปมา

รูปขันธ์ “เปรียบเหมือนฟองน้ำ อันเกิดจากคลื่นหรือระลอก เป็นต่อม เป็นฟองขึ้นมา ชั่วครู่หนึ่งประเดี๋ยว แล้วก็ดับแตกไปเป็นน้ำตามเดิม” รูปกายนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน แปรสภาพ เป็นรูปมนุษย์ชายหญิงหรือเป็นสัตว์ต่างๆ นานา มาจากธาตุ ๔ อยู่ได้ชั่วระยะหนึ่ง ซึ่งคนเราเข้าใจว่านาน แต่สัตว์บางจำพวกซึ่งมีอายุนานกว่า เขาจะเห็นว่าชั่วครู่เดียวแล้วก็แตกดับสลายไปเป็นธาตุ ๔ ตามเดิมฯ

เวทนา “เปรียบเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง ลูกคลื่นเหมือนกับเป็นตัวตน กลิ้งมากระทบกับฝั่ง ดังซู่ซ่า แล้วสลายหายตัว ไปเป็นน้ำตามเดิม” เวทนาก็เกิดจากสัมผัส แล้วมีความรู้สึก เปรียบเหมือนเสียงคลื่น เป็นสุขบ้าง ทุกข์บ้าง หรือเฉยๆ แล้วก็หายไป เดี๋ยวสัมผัสอื่น มากระทบอีก ดังนี้อยู่ตลอดกาลฯ

สัญญา “เปรียบเหมือนพยับแดด ธรรมดาพยับแดด อันเกิดจากไอระเหยของความร้อน เมื่อบุคคลเพ่งมองดูอยู่แต่ที่ไกล จะแลเห็นเป็นตัวระยิบระยับ เป็นกลุ่มเป็นหมู่ๆ เมื่อเข้าไปถึง ใกล้แล้ว สิ่งที่เห็นอยู่นั้นก็จะหายไป” ฉันใด สัญญาความจำที่เกิดจากสัมผัส ในอายตนะทั้ง ๖ ก็ผลุบๆ โผล่ๆ เกิดทางตาบ้าง ทางหูบ้าง โน่นบ้าง นี่บ้างอยู่ตลอดกาล ไม่เป็นของตัวเองเลย ก็ฉันนั้นฯ

สังขาร “เปรียบเหมือนต้นกล้วย ธรรมชาติของต้นกล้วย ย่อมไม่มีแก่นเป็นธรรมดา” สังขารรูปกายของคนเรานี้ก็หาสาระมิได้ เริ่มเกิดขึ้นมาก็มีสภาวะแปรสภาพไปพร้อมๆ กันเลย จะอยู่ได้นานแสนนาน สภาพความแปรปรวนของสังขาร ก็เปลี่ยนแปลงไปตามทุกขณะอยู่อย่างนั้น แล้วก็มีความแตกดับเป็นที่สุด แม้แต่สังขารจิต คิดนึกปรุงแต่ง เอาจริงเอาจังกัน ประเดี๋ยวๆ ก็หายวูบไป ฉะนั้นเหมือนกันฯ

วิญญาณ “เปรียบเหมือนมายา ธรรมดาเรื่องของมายาแล้ว มีแต่จะหลอกลวงผู้อื่น ให้เข้าใจผิด คิดตามไม่ทัน ในเรื่องของตัวเท่านั้น” วิญญาณก็มีลักษณะหลอกลวง ให้ผู้อื่นตามไม่ทัน พอตาเห็นรูปเกิดความรู้สึกขึ้น เมื่อจะตามไปดูความรู้สึกนั้นยังไม่ทันอะไร เดี๋ยวไปเกิดความรู้สึกขึ้นทางหู เมื่อจะตามไปดูความรู้สึกทางหูนั้น ยังไม่ทันอะไร เดี๋ยวไปเกิด ความรู้สึกขึ้นทางอื่นต่อๆ ไปอีกแล้ว มีแต่จะหลอกลวงให้คนอื่นตามไม่ทัน ฉันนั้นเหมือนกันฯ

ผู้มาพิจารณาเห็นขันธ์ มีอุปมาดังแสดงมาแล้วนี้ ชัดแจ้งด้วยปัญญาอันชอบด้วยตนเองแล้ว จะไม่หลงเข้าไปยึดเอาขันธ์มาเป็นอัตตาหรืออนัตตา แต่จะหยิบยกเอาขันธ์ เป็นเป้าหมาย แห่งญาณทัสสนะของปัญญาวิปัสสนา การใช้ปัญญาแยบคาย ไม่เข้าไปยึดเอาของมีอยู่และเนื่องด้วยอัตตา จัดเป็นปัญญาในอริยมรรค เพราะของที่ไม่มีแลไม่เนื่องด้วยอัตตาสามัญญนาม ใครๆก็ละได้ หรือจะเรียกว่า ผู้ไปยึดของไม่มี เป็นผู้ไร้ปัญญา ก็ได้

สนามยุทธ

คำสอนของพระพุทธองค์เป็นคำสอนยุทธวิธี เพื่อผจญกับกิเลสข้าศึกความชั่ว ซึ่งมันฝังอยู่ในตัวของแต่ละบุคคลมานานแล้ว ฉะนั้น ขันธ์ ๕ คือตัวของคนเราแต่ละคน จึงเท่ากับสนามยุทธ

แต่ยุทธวิธีของพระองค์ การแพ้คือการเข้าไปยึดถือ การชนะคือการปล่อยวางให้มันเป็นไปตามสภาพเดิมของมัน ไม่เหมือนการแพ้ แลการชนะ ของผู้ยังมีกิเลสอยู่

ความเป็นจริงการชนะของทุกๆ อย่างไม่ว่าชนะภายนอกและภายใน ในโลกนี้หรือในโลกไหนๆ ก็ตาม ถ้าจะว่าการชนะที่บริสุทธิ์แลแท้จริงแล้ว ก็คือคู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่าย จะต้องมี อิสระเต็มที่ หากจะยังมีการคิด เพื่อจะต่อสู้กันอีก หรือเข้าไปยึดอำนาจควบคุมยึดถือกันอยู่แล้ว ชนะนั้นไม่ชื่อว่าเป็นการชนะที่บริสุทธิ์แลเป็นธรรมเลย วันหนึ่งข้างหน้า จะต้องมีการแพ้อีกเป็นแน่ หรืออย่างนั้นก็ก่อเวรก่อกรรมซึ่งกันและกัน

พระพุทธองค์ทรงเห็นทุกข์ คือตัวข้าศึก มีชาติเป็นต้น ก็เห็นอยู่ในขันธ์นี้เอง แล้วทรงใช้ยุทธวิธีด้วยปัญญาอันชอบ จนเอาชนะข้าศึก ก็ในขันธ์อันนี้ แต่แล้วข้าศึกก็มิได้ล้มตายฉิบหายไปไหน

ข้าศึกคือขันธ์ ก็ยังเป็นขันธ์ปกติอยู่เช่นเดิม ปัญญาวุธที่พระองค์นำมาใช้ เป็นของกายสิทธิ์ ประหารข้าศึกจนพ่ายแพ้ไปได้ แต่หาได้ทำให้ข้าศึกเจ็บปวด แม้แต่แผลเท่าเมล็ดงา ก็หาได้ปรากฏไม่

เรื่องนี้มีอุทาหรณ์รับสมอ้าง ดังปรากฏในพระธรรมจักกัปปวัตตนสูตรอยู่แล้ว

หากจะมีปัญหาถามว่า ข้าศึกที่แพ้แก่พระองค์แล้วจะไปตั้งทัพอยู่ ณ ที่ไหน ตอบว่า เมื่อแพ้แก่พระองค์แล้ว ก็ต้องเป็นบ่าวรับใช้ของพระองค์ต่อไป ผู้ที่เอาชนะมันไม่ได้เท่านั้น จึงยอมเป็นทาสของมันต่อไป ฉะนั้น ขันธ์ที่ยังไม่มีใครเอาชนะได้ จึงยังมีอิสระครอบโลกทั้งสามอยู่

อายตนะ

อายตนะ แปลว่า บ่อเกิดหรือสื่อสัมพันธ์ บ่อเกิดหรือสื่อสัมพันธ์อะไร อธิบายว่า สื่อสัมพันธ์ของอายตนะทั้งสองแล้วเกิดอารมณ์ขึ้น บ่อน้ำก็คือสายของน้ำที่ออกมาจากใต้ดิน แล้วไหลเนื่องติดต่อกันกับน้ำที่อยู่ข้างนอกไม่ขาดสายนั้นเอง

อายตนะ มีตาเป็นต้น เมื่อสัมผัสกับรูปแล้ว ก็ติดต่อสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องถึงประสาทเข้ามาหาใจ แล้วใจก็รับเอามาเป็นอารมณ์ ถ้าดี ก็ชอบใจ สนุก เพลิดเพลิน หรรษา ถ้าไม่ดีก็ไม่ชอบใจ คับแค้นเป็นทุกข์โทมนัสต่อไป เมื่อตายังไม่หลับ

อายตนะอื่นๆ มีหูเป็นต้น ก็มีนัยเช่นเดียวกัน ดังได้อธิบายมาแล้วข้างต้น ตอนว่าด้วยอายตนะ ๖ ฉะนั้น ในที่นี้จึงจะไม่อธิบายอีก แต่จะอธิบายเฉพาะยุทธวิธีสำหรับต่อสู้กับข้าศึก (คืออารมณ์หรือกิเลส) ที่มันจะรุกรบเข้ามาทางทวาร ๖ ต่อไป เพื่อให้เชื่อมกับขันธ์ ๕ อันอุปมาเทียบเหมือน “สนามยุทธ” ดังได้พูดค้างไว้

ที่พูดค้างไว้นั้น ได้พูดเฉพาะแต่สนามยุทธเท่านั้น ยังไม่ได้พูดถึงเชิงยุทธวิธีเลย ฉะนั้นต่อไปนี้ จะได้แสดงยุทธวิธีอันจะมีขึ้นในสมรภูมินั้นต่อไป ใครจะแพ้ ใครจะชนะ ขอท่านผู้อ่าน จงติดตามดูลวดลายของคู่ต่อสู้ต่อไป

อายตนะ ๖

อายตนะ ๖ ได้แต่ ตา ที่เห็นวัตถุรูป ๑ หู ที่เสียงดังมากระทบ ๑ จมูก ที่สูบกลิ่นสารพัดทั้งปวง ๑ ลิ้น ที่รับรสทุกๆ อย่างที่มาปรากฏสัมผัส ๑ กาย ที่ถูกสัมผัสเย็นร้อน อ่อนแข็ง อันจะรู้ได้ทางกาย ๑ ใจ ความรู้สึกนึกคิดในอารมณ์นั้นๆ ๑

อายตนะทั้ง ๖ นี้ย่อมรับทำหน้าที่แต่ละแผนกๆ ไม่ปะปนกัน เช่น ตารับทำหน้าที่ แต่เฉพาะไว้ดูรูปเท่านั้น ตกลงว่าบรรดารูปทั้งหลายแล้ว จะเป็นรูปชนิดใดอย่างไร หยาบละเอียด แม้แต่รูปอสุภะอันแสนน่าเกลียด ก็มอบภาระให้ตาดูไป ให้หูดูแทนไม่ได้เด็ดขาด เป็นต้น ท่านจึงเรียกว่าเป็นใหญ่ในหน้าที่นั้นๆ

ฉะนั้น เมื่อพูดถึงอายตนะภายใน ๖ แล้ว จึงจำต้องพูดคู่ของอายตนะภายในไปพร้อมๆกัน จึงจะเห็นประโยชน์ของอายตนะ ๖ ที่ว่ามานั้น เป็นของอยู่ในตัวของเรา ท่านจึงเรียกว่า อายตนะภายใน

สิ่งที่เป็นคู่กับอายตะภายใน เช่น รูปเป็นคู่กับตา เป็นต้น ท่านเรียกว่าอายตนะภายนอก อายตนะภายนอกก็มี ๖ เหมือนกัน อายตนะถ้าไม่มีคู่ เช่น มีแต่ตาอย่างเดียวไม่มีรูป ให้เห็น ก็ไม่มีประโยชน์อันใดเลย หรือมีแต่รูปอย่างเดียวไม่มีตาดู ก็จะมีประโยชน์อันใด แต่เมื่อเห็นรูปแล้ว ย่อมมีทั้งคุณแลโทษ เหมือนๆกับผู้รับผิดชอบการงานในหน้าที่นั้นๆ จะต้องรับผิดชอบทั้งดีแลไม่ดี อายตนะภายใน กับอายตนะภายนอก กระทบกันเข้านี่แหละ ที่ทำให้เกิดคุณแลโทษก็อยู่ที่ตรงนี้

ฉะนั้น อารมณ์ที่เกิดจากอายตนะทั้งสองนี้ จึงเป็นเหมือนกับมิตรแลศัตรูไปพร้อมๆกัน แต่มิตรไม่เป็นไรเรายอมรับทุกเมื่อ แต่ศัตรูนี้ซิ ตาเกลียดนักจึงคอยตั้งป้อมต่อสู้มัน

อายตนะทั้ง ๖ เมื่อใครได้มาเป็นสมบัติของตน ครบถ้วนบริบูรณ์ไม่วิกลวิกาลแล้ว จึงนับได้ว่า เป็นลาภของผู้นั้นแล้ว เพราะมันเป็นทรัพย์ภายใน อันมีคุณค่ามหาศาล ยากที่จะหาแลกเปลี่ยน ซื้อขายกันในตลาดได้ ทรัพย์ทั้งหลายภายนอก จะมีมากน้อยสักเท่าไร แลจะดีมีคุณค่าให้สำเร็จประโยชน์ได้ทุกประการก็ตาม หากขาดทรัพย์ภายในเหล่านี้แล้ว ก็ไม่สำเร็จประโยชน์อะไรเท่าไรนัก

อนึ่ง ทรัพย์ภายใน ๖ กองนี้ มีแล้วใช้ได้ไม่รู้จักหมดสิ้นตลอดวันตาย เป็นแก้วสารพัดนึกให้สำเร็จความปรารถนาได้ทุกสิ่ง เมื่อโดยมิต้องลงทุน หรือหากจะลงทุนบ้างเล็กน้อย แต่ได้ผลล้นค่า เหมือนกับได้ทิพย์สมบัติ ๖ กอง อย่างน่าภาคภูมิใจด้วย หากใครได้เกิดมาในโลกนี้ ไม่ได้สมบัติ ๖ กองนี้ หรือได้แต่ไม่ครบถ้วน ก็เท่ากับเป็นคนอาภัพในโลกนี้เสียแล้ว สมบัติ ๖ กองนี้เป็นของผู้ที่เกิดมาในกามโลก มีขันธ์ ๕ โดยเฉพาะ

กามคุณ ๕

อารมณ์ ๕ ที่เกิดทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ บัญญัติธรรมเรียกว่า “กามคุณ ๕” เพราะผู้ที่ได้ประสบอารมณ์ ๕ นี้แล้ว ชอบใจ ดีใจ ติดใจ เข้าไปฝังแน่นอยู่ในใจ เห็นเป็นคุณทั้งหมด หากจะเห็นโทษของมันอยู่บ้างบางกรณี แต่ก็ยากนักที่เอาโทษนั้นมาลบล้างคุณของมัน ฉะนั้นเหมาะสมแล้วที่เรียกว่า “กามคุณ”

ปุถุชนผู้เยาว์ปัญญา เมื่อได้ประสบอารมณ์ทั้ง ๕ นั้นแล้วจึงหวานฉ่ำ เหมือนแมลงวัน หลงใหลในน้ำผึ้ง ติดทั้งรสทั้งกลิ่น จะบินหนีก็เสียดาย ผลที่สุดคลุกเคล้าเอาตัวไปจม ลอยอยู่ในนั้น กามคุณเป็นหลุมฝัง ของปุถุชนผู้เยาว์ปัญญา โดยความสมัครใจของแต่ละบุคคลโดยแท้

กามโลก

โลกที่มีธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ บริบูรณ์ ท่านเรียกว่า “กามโลก” ทุกๆคนที่ยังพากันสร้างบารมีอยู่ จำจะต้องเวียนว่ายมาเกิดในกามโลกนี้จนได้

เพราะกามโลกสมบูรณ์ด้วยประการทั้งปวง จึงทำให้ปุถุชนผู้เยาว์ปัญญา หลงใหลคิดว่า เกิดมาได้รับความสุขพอแล้ว แม้พระพุทธเจ้า หรืออริยเจ้าทั้งหลาย ก่อนที่ท่านจะได้สำเร็จเป็นพระอริยะ ท่านก็ต้องมาเกิดในกามโลกนี้ อันเป็นวิบากผลกรรมของท่านแต่ชาติก่อน

อนึ่ง กามโลกนี้นับว่าเป็นสมรภูมิอย่างดีที่สุด ของท่านผู้จะได้เป็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย มรรคปฏิปทา สมถะ-ฌาน-สมาธิ-สมาบัติ-วิปัสสนา อันเป็นหนทางที่จะให้ถึงเป็นพระอริยเจ้า ก็จำเป็นจะต้องมายืมสถานที่ คือกามโลกนี้ เป็นที่บำเพ็ญเจริญให้ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ถ้าจะพูดให้สั้นแล้วเรียกว่า ผู้จะพ้นจากกามโลกได้ ก็ต้องมาเกิด หรือมาศึกษาค้นคว้าในกามโลกนี้ ให้เห็นคุณแลโทษ ชัดแจ้งด้วยปัญญาแยบคายด้วยตนเองเสียก่อน จึงจะเรียกว่า รู้แจ้งซึ่งโลก แล้วจึงจะหนีจากโลกนี้ได้โดยชอบธรรม ถึงรูปโลกแลอรูปโลก ก็เช่นนั้นเหมือนกัน

ฉะนั้น เมื่อท่านเหล่านั้นเกิดขึ้นมาในกามโลกนี้แล้ว ด้วยบุญญาบารมี ที่ท่านได้สะสมมานาน แทนที่ท่านจะหลงเพลิดเพลิน มัวเมาในกามทั้งหลาย ดังปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป ท่านเลยเห็นตรงกับข้าม อายตนะทั้ง ๖ มีไว้ใช้เพื่อให้เกิดความสุขแก่ปุถุชนก็จริงแล แต่ท่านผู้มีบารมี ที่ได้บำเพ็ญมา ควรที่จะได้ตรัสรู้ ท่านเลยเห็นตรงกันข้าม คือเห็นว่า ที่แท้นั้น มันเป็นบ่อเกิดของอารมณ์ นำทุกข์มาให้

เช่น ตาเห็นรูปสวยแล้วชอบใจ อยากได้มาเป็นของตัว ก็เป็นทุกข์ เพราะอยากได้ การพยายามที่จะให้ได้มา ก็เป็นทุกข์ ได้มาแล้ว ก็เป็นทุกข์ เพราะจะต้องบริหารหากรูปนั้นเสื่อมสูญฉิบหายไปโดยธรรมดาของมัน อย่างนั้นก็ตาม แต่ใจเราฝ่าฝืน ไม่อยากให้มันเป็นไปอย่างนั้น ก็เป็นทุกข์ เมื่อยังมีการเห็นเช่นนั้นอยู่ ก็เป็นทุกข์ เมื่อระลึกถึงรูปนั้นที่หายไปแล้ว ก็ยังเป็นทุกข์อยู่อีก อายตนะอื่นๆ นอกนี้ มีหูเป็นต้น ก็เช่นเดียวกันนี้

เรื่องนี้ พระพุทธองค์ได้เคยประสบการณ์มา ด้วยพระองค์เองแล้ว จนเห็นโทษ แล้วทรงสละทุกสิ่งทุกอย่าง ออกบวชบำเพ็ญทางใจ (คือต่อสู้กับอารมณ์) จนได้สำเร็จพระโพธิญาณ

พระองค์จึงนำเอาประสบการณ์ แลหลักยุทธวิธี ที่พระองค์ทรงใช้ได้ผลแล้วนั้น นำมาสั่งสอน แก่เหล่าศาสนิกชนต่อมา หลักคำสอนของพระพุทธองค์ตั้งแต่อนุปุพพิกถา มีทาน ศีล เป็นต้น ล้วนแต่เป็นหลักยุทธวิธีทั้งนั้น แต่เป็นยุทธวิธีเป็นขั้นๆไป ต่อสู้กับอะไร? ท่านต่อสู้กับ ความตระหนี่ เห็นแก่ตัว บางทีใจเป็นบุญกุศล อยากทำทานอยู่ แต่อีกใจหนึ่ง คิดห่วงหน้าห่วงหลังกลัวจะขาดแคลน หรือไม่เมื่อให้ท่านไปแล้ว กลัวทรัพย์ที่มีอยู่จะไม่ครบจำนวน ดังนี้ เป็นต้นฯ

ศีล ก็ต่อสู้กับเสียดายความสุขสนุกเพลิดเพลินอันเป็นโลกียะที่เคยได้ประสบมาแล้ว แลเห็นแก่ตัวเหมือนกันฯ เมื่อผู้มาต่อสู้ทั้งสองทัพนี้ จนพ่ายแพ้ไปได้แล้ว จะเห็นกิเลสเหล่านั้นเป็นของน้อยนิดเดียวไม่มีกำลังอันน่ากลัวเลย แล้วจะเห็นความสุขอันยิ่งใหญ่ในชัยชนะนั้น จนจิตใจกล้าหาญ มีความร่าเริงอิ่มใจเป็นอย่างยิ่งฯ เรียกว่า อนิสังสกถา ฯ

คำสอนของพระองค์ ยังสอนไว้ว่า ชนะขั้นนี้ยังไม่เป็นการชนะอย่างเด็ดขาด เพราะเป็นการชนะข้าศึกภายนอก มันยังอาจกลับกลอกได้ เพราะใจมันยังไปยินดี ติดกับด้วยความสุขในกามคุณ ๕ คือ รูป-เสียง-กลิ่น-รส-โผฏฐัพพะ อันเป็นอานิสงส์ของ ทาน ศีล เท่านั้นฯ กามคุณ ๕ เป็นความสุข ที่เจือไปด้วยทุกข์ สำหรับหลอกลวงบุคคล ผู้มีปัญญาเยาว์ให้หลงติดอยู่ เหมือนกับปลากำลังหิวอาหาร หลงเข้าไปฮุบเอาเหยื่อที่เขาหุ้มเบ็ดไว้ฉะนั้น

แล้วท่านสอนให้ต่อสู้ กับความหลงผิดติดสุขในกาม อย่าเห็นแก่ความหิวในเหยื่อเท่านั้น โทษจะถึงความตายในภายหลัง เรียกว่า “กามทีนพโทษฯ” เมื่อผู้มาพิจารณาเห็นโทษในกามคุณ ๕ ว่าเป็นเหมือนกับยาเสพติด คิดเบื่อหน่ายคลายสละได้ ใจพ้นจากอามิส เป็นอิสระสุขอยู่แต่ผู้เดียว เรียกว่า เนกขัมกถาฯ

แต่ยุทธวิธีตอนว่าด้วยอายตนะ ซึ่งจะอธิบายต่อไปนั้น เป็นยุทธวิธีอย่างละเอียด ต้องต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายกันจริงๆ และสามารถให้ก้าวขึ้นสู่วิปัสสนาญาณทัสสนะได้ฯ

น่าอัศจรรย์

ท่านผู้อ่านทั้งหลาย เป็นที่น่าอัศจรรย์ไหม พระพุทธองค์ทรงอุบัติเกิดขึ้นมาในกามภพ เป็นอยู่ในกามภูมิ แวดล้อมแล้วด้วยกามคุณ ๕ ยั่วยวนแล้วด้วยกามกิเลสเหมือนๆกับปุถุชนคนเราทั้งหลาย แต่พระองค์เห็นโทษแล้วในกามทั้งหลาย จึงทรงแสดงหาอุบาย หนีเอาตนรอด จนเป็นยอดของบุคคลผู้เป็นอิสระทั้งหลาย โดยไม่มีใครเป็นครูอาจารย์ แต่รู้แจ้งด้วยพระองค์เอง

ฉะนั้น พระอานนท์เถระจึงชมเชยพระองค์ว่า เป็นที่น่าอัศจรรย์หนอ “พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ใน โอกาส” อธิบายว่า พระพุทธองค์ทรงอุบัติเกิดขึ้นมาในกามภพ แต่ไม่หลงติดอยู่ในกามภพ ถึงจะแวดล้อมไปด้วยกามคุณ ๕ แต่พระองค์ก็มิได้หลงใหลไปด้วย ถึงจะอุบัติอยู่ในกามภูมิ แต่พระองค์ก็มิได้จมอยู่ในภูมินั้น รู้เท่าเข้าใจ เห็นแจ้งชัดจริง ทั้งคุณแลโทษ พร้อมทั้งอุบาย หนีให้พ้นจากมันเสียจนได้ ด้วยใจด้วยปัญญาอันเฉียบแหลมของพระองค์เอง

อายตนะทั้ง ๖ ถึงแม้จะเป็นบ่อเกิดกองบุญ ของผู้ที่ยังปรารถนากามภพอยู่ ก็จริงแล แต่ผู้ที่เห็นโทษในกามภพแล้ว ผลของบุญ หรืออานิสงส์ของบุญนั้น มันกลับเป็นเครื่องผูกมัดจิตใจ ของผู้ต้องการพ้นจากกามไป เปรียบเหมือนสมบัติทั้งหลาย ย่อมเป็นที่ปรารถนาแต่เฉพาะผู้ต้องการเท่านั้น ส่วนผู้ที่ไม่ต้องการแล้ว แม้จะถูกคนบางคนหาว่าเป็นบ้าก็ตาม เขาผู้นั้นก็ยอมสละเพื่อเนกขัมมะ

ฉะนั้น อายตนะทั้ง ๖ มีตาเป็นต้น มิใช่จะเป็นบ่อเกิดแต่กิเลสอันเป็นของหยาบๆเท่านั้น ผลบุญกุศลที่เกิดจากอายตนะทั้ง ๖ ก็จัดเป็นกิเลสของผู้เห็นโทษในกามภพด้วย เช่นผู้ออกบวช ก็เห็นโทษในกาม ตามนามบัญญัติว่า เนกฺขมฺม อยู่แล้ว สรุปแล้ว สัพพกิเลสทั้งหลายย่อมเกิดขึ้น ณ ทวารทั้ง ๖ นี้ทั้งนั้น

อายตนะเป็นของร้อนเพราะไฟ

ในอาทิตตปริยายสูตร ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่ ชฏิลสามพี่น้อง พร้อมทั้งบริวาร ผู้บูชาไฟเพื่อปรารถนาในกามสุขว่า “อายตนะทั้ง ๖ มีตาเป็นต้น เป็นของร้อน ร้อนเพราะไฟ คือ ราคะ โทสะ โมหะ”

ท่านผู้อ่านบางคนอาจสงสัยว่า ถ้าอายตนะทั้งหลายมีตาเป็นต้น เป็นของร้อนแล้ว ไฉนมนุษย์คนเราทั้งหลายจึงเป็นคนอยู่ได้ ทำไมไฟคือกิเลสราคะเป็นต้น จึงไม่ไหม้ตายหมด พูดดูเหมือนอายตนะทั้งหลายมีตาเป็นต้น จะไม่มีประโยชน์ให้คุณเสียเลย หากมีผู้คิดเห็นไปเช่นนั้น ก็เป็นที่น่าเห็นใจเหมือนกัน ปลาเกิดในน้ำจืดจะไปอยู่ในน้ำเค็มย่อมไม่ได้ สัตว์บางชนิด เกิดในน้ำร้อนแต่มันก็อยู่ได้ไม่ตาย หนอนเกิดในที่สกปรก แลเหม็นคลุ้ง มันก็เพลินสนุกอยู่ได้ ไม่เห็นมีอะไรแปลก ไฟมิใช่จะให้แต่โทษอย่างเดียว คุณของไฟก็มีมาก คุณแลโทษเป็นแต่ บทรำพัน แต่ละทัศนะของแต่ละบุคคลเท่านั้น

อายตนะ ๖ มีตาเป็นต้น ผู้เกิดมามีไม่ครบบริบูรณ์ ทางพระศาสนาถือว่า เป็นกรรมเก่าของผู้นั้น คนพิการแม้จะบวชในพระศาสนา พระวินัยบัญญัติก็ห้าม สมจริงตามนั้น โลกอันนี้ จะเป็นที่น่าอยู่น่าชมสนุกสนาน ก็เพราะมีอายตนะทั้ง ๖ นี้เอง หากขาดอายตนะอันใดอันหนึ่งไปเสียแล้ว ก็เรียกได้ว่า ความสุขในโลกนี้ไม่สมบูรณ์ นี่ก็แสดงให้เห็นชัดอยู่แล้วว่า อายตนะทั้ง ๖ แต่ละอย่างมีความสำคัญ แลคุณประโยชน์มาก แก่ความเป็นอยู่ของผู้เกิดมาสักเพียงไร

เกจิอาจารย์บางท่าน ยังแสดงอายตนะทั้ง ๖ เทียบกับสวรรค์ ๖ ชั้นอีกด้วย พอสมจริง ดังท่านว่าอีกเหมือนกัน เพราะท่านพูดต้นเหตุ อายตนะทั้ง ๖ เป็นบ่อเกิดของกามาพจรกุศลทั้งหลาย หรือผู้มีอายตนะทั้ง ๖ แล้วก็เหมือนกับได้ทิพย์สมบัติ

ฉะนั้น ที่ท่านแสดงไว้ในอาทิตตปริยายสูตรว่า อายตนะเป็นของร้อนนั้น ท่านหมายเอา อายตนะทั้งหลาย มีตาเป็นต้น สัมผัสกับรูปแล้ว วิญญาณอาศัยของสองอย่างนั้นเกิดขึ้นว่าเป็นของร้อน แล้วพระองค์แจงออกไปว่าร้อนเพราะอะไร?

ร้อนเพราะมีเชื้อเดิมอยู่แล้ว ในตานั้น ที่ไปเห็นรูป ๓ อย่างได้แก่ ราคะความกำหนัดย้อมใจ ๑ โทสะความโกรธขึ้งเคียด ๑ โมหะความหลงไม่รู้เท่าเข้าใจในเหตุผลของสิ่งนั้นๆ ๑ ของสามอย่างนี้ เป็นเหตุให้เกิดความร้อน

อายตนะอื่นๆ นอกจากนี้ ก็เช่นเดียวกัน ถ้าสิ่งสามอย่างนี้เป็นเชื้ออยู่แล้ว หูฟังเสียง จมูกถูกกลิ่น ลิ้นถูกรส กายถูกสัมผัส ใจคิดไปในอารมณ์ต่างๆ ย่อมร้อนเหมือนกันทั้งหมด

ความจริง อายตนะ ทั้ง ๖ นี้ มิใช่ไฟเป็นของร้อนอะไรเลย อายตนะ ก็เป็นอายตนะอยู่ดีๆ นี่เอง ถ้าอายตนะ ๖ เป็นไฟ ไปหมดแล้ว ตนตัวคนเราทั้งหมด ก็เป็นเชื้อที่ให้ไฟไหม้ไปหมดแล้วแต่นาน หรือไม่ก็เป็นนรกตลอดกาลเท่านั้นเอง ที่ว่าเป็นของร้อน เพราะมันมีเชื้อไฟสามอย่างดังอธิบายมาแล้วอยู่ในนั้น หรือไม่ก็มีอยู่ในอายตนะภายนอกทั้ง ๖ มีรูปเป็นต้น เปรียบเหมือนไม้แห้งสองอันเอามาสีกันเข้า ต่างก็มีเชื้อไฟอยู่ในตัวของแต่ละอันอยู่แล้ว เมื่อเอามาสีกันเข้าจึงจะเกิดไฟขึ้นมาฉะนั้น ถ้าไม่เอามาสีกันถึงจะมีเชื้อไฟอยู่ในตัว ไฟนั้นก็ไม่อาจเกิดขึ้นมาได้

ระวังสังวร

ฉะนั้น พระพุทธองค์จึงสอนให้ระวังสังวรเมื่อตาเห็นรูปเป็นต้น ก็อย่าให้กระทบแรง ได้แก่ ให้มีสติรู้ตัวอยู่เสมอว่า ตาก็มีเชื้อไฟอยู่ในตัว รูปก็มีเชื้อไฟอยู่ในตัว แล้วก็ให้ระวังใจว่า ราคะก็เกิดขึ้นที่ใจนี้ โทสะก็เกิดที่ใจนี้ โมหะก็เกิดที่ใจนี้ ทั้งสามอย่างนี้ มันล้วนแต่เป็นของร้อนทั้งนั้น

คนรู้จักของร้อน แลเคยได้ประสบความร้อนมาด้วยตนเองก่อนแล้ว เมื่อมีผู้รู้เรื่องนั้นดีกว่าฉลาดกว่า มาแสดงโทษให้ฟัง เขาก็จะเข้าใจได้ดี แลได้ความรู้ฉลาดเพิ่มขึ้น หากเขาผู้นั้น ไม่รู้จักความร้อน แลโทษของความร้อน หรือไม่เคยได้ประสบความร้อนมาด้วยตนเองก่อนแล้ว ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ก็ไม่ทราบว่าจะสอนให้เขาเข้าใจได้อย่างไร

ไฟสามกอง: ราคะ

ท่านอุปมาความร้อนของไฟสามกองไว้ว่า “ราคะมีความร้อนเหมือนกับน้ำร้อน” น้ำปกติ เป็นของเย็น คนที่ถูกความร้อนแผดเผาย่อมระลึกถึงน้ำ หรืออาบน้ำ ไม่ก็ดื่มเพื่อระงับความร้อนกระวนกระวายเสีย แต่เมื่อน้ำมากลายเป็นของร้อนไป จึงยากที่บุคคลผู้จะรู้ได้ ตราบใดความร้อนของน้ำยังไม่สัมผัสกับตัวด้วยตนเอง ก็ยังไม่รู้โทษของความร้อนของน้ำอยู่ตราบนั้น

ความใคร่ความพอในยินดีในกามคุณห้า ย่อมเป็นที่พอใจ แลปรารถนาของผู้ยังมีความหิวอยู่ เหมือนกับผู้ถูกความร้อนแล้วรู้สึกแลหิวกระหายน้ำฉะนั้น เมื่อดื่มน้ำเข้าไป ความร้อน หรือความหิวกระหายนั้นก็ระงับไป แล้วความหิวกระหายอื่นก็เกิดขึ้นมาแทน มิฉะนั้น เปรียบเหมือนอสรพิษกัด แล้วมียาดีๆ มาใส่ให้หายพิษได้ทันที แต่แล้วก็กัดอีก อยู่อย่างนั้นร่ำไป

แต่ท่านผู้หมดความหิวแล้ว ย่อมไม่มีความอยากกระหาย แม้แต่ไฟ คือราคะ ความกำหนัดรักใคร่ ก็ไม่เข้าไปย้อมใจของท่านให้ชุ่มได้ ฉะนั้น ท่านจึงไม่มีความหิว แลความอยากแล้ว อายตนะทั้งหลายของท่าน จะเป็นเหตุให้เกิดไฟคือราคะได้อย่างไร

ไฟสามกอง: โทสะ

โทสะ มีความร้อนเปรียบเหมือนไฟไหม้ป่า ธรรมดาไฟป่าเมื่อเผาตนเองแล้ว ก็ย่อมลุกลามไหม้สิ่งที่อยู่รอบๆไฟ ไม่เหลือแม้ที่สุดของแห้งแลของสด จะเป็นของสะอาดหรือโสโครกก็ตาม ไฟย่อมไหม้หมดโดยไม่เลือก

ไฟคือโทสะนี้ก็เหมือนกัน เมื่อมันติดลุก เกิดขึ้นในใจของผู้ใดแล้ว ย่อมเผากายใจของตนเอง ให้เดือดร้อนกระวนกระวาย แล้วเผาคนอื่น ให้เดือดร้อนตามๆกันไป คนผู้ดีมีจน มีคุณ ไม่มีคุณ แม้แต่บิดามารดาผู้เกิดเกล้า ไฟคือโทษ ย่อมเผาไม่เลือก ไม่ว่าไฟป่า หรือไฟบ้าน เมื่อมันลุกลามขึ้นมาแล้ว ใครๆเห็นเข้าย่อมกลัวทั้งนั้น กิ้งก่ากิ้งกือ ตั๊กแตน แมลงต่างเห็นเข้าแล้ว ต่างก็วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน เพื่อเอาตนรอดทั้งนั้น

มนุษย์ได้สามัญญนามว่า เป็นผู้มีปัญญา มีใจสูง แต่ก็อดที่จะเอาไฟคือโทสะมาเผากายใจของตนเองไม่ได้ นามบัญญัติที่ว่านั้นมันมีความหมายอะไร อยู่ที่ตรงไหนกันแน่ หรือว่ามันเป็นเพียงมนุษย์ปลอมๆ เปล่าๆ เท่านั้นหรือ

ไฟสามกอง: โมหะ

โมหะ มีความร้อนเปรียบเหมือนกับไฟไหม้แกลบ ไฟแกลบใครๆ ก็ทราบอยู่แล้วว่า มันมีเถ้าปกคลุมอยู่ข้างบน แต่ข้างใต้มันร้อนระอุไม่แพ้ไฟอื่นเลย นานๆ ถ้ามีผู้ไปเขี่ยเถ้าของมัน จึงจะแสดงประกายให้ปรากฏออกมา ครั้นแล้วก็ค่อยเศร้าๆ สงบลงไป ร้อนกรุ่นอยู่ภายในตามเดิม

โมหะจริตก็เช่นนั้นเหมือนกัน อารมณ์อันใดเกิดขึ้นในจิต จะร้อนแสน ก็ไม่ค่อยจะแสดงอาการออกมาภายนอก แต่มิใช่เพราะความรู้เท่าเข้าใจในอารมณ์นั้นๆ ตามเป็นจริงแล้ว ปล่อยวางได้

ความร้อนมีอยู่ แต่ไม่ทราบว่าจะแก้ไขความร้อนนั้นด้วยอุบายใด มันมีแต่ความร้อน กับตันตื้อไปหมด ไม่ว่าจะอยู่ในท่าไหน มันทำให้มึนงงไปทั้งนั้น หรือที่เรียกว่ามืดแปดด้าน มองไม่เห็นช่องสว่างเอาเสียเลย

เรื่องนี้พูดไม่ถูก ถ้าใครได้ประสบการณ์ด้วยตนเองแล้ว จึงจะรู้ชัดยิ่งกว่าคนอื่นเล่าให้ฟัง นี่พูดถึงลักษณะของไฟ คือโมหะ แต่ลักษณะของโมหะแท้ ท่านแสดงไว้ในที่ต่างๆ ว่า ไม่รู้ในอริยสัจสี่ ไม่รู้ในปฏิจจสมุปบาท ไม่รู้อดีต ไม่รู้อนาคต แลไม่รู้ปัจจุบัน หรือไม่รู้ในทั้งหมด ที่กล่าวมาแล้วนั้นด้วย ไม่รู้ทั้งที่จะทำให้หมดกิเลสสิ้นทุกข์ทั้งปวงด้วย เรียกว่าโมหะ

ความจริง โมหะนี้ มิใช่ไม่รู้อะไรทั้งหมด โดยเฉพาะความร้อน โมหะก็ยังรู้ว่าร้อนอยู่ แลเหตุให้เกิดความร้อน ก็รู้อยู่เหมือนกัน แต่ไม่ยอมละเหตุนั้น เรียกว่ารู้แล้วแต่ไม่ยอมละ รู้แล้วยิ่งเกิดมานะ เพิ่มกิเลสขึ้นมาอีก

ความจริง โมหะนี้ ย่อมมีแก่สามัญญชนทั่วไป ตลอดตั้งแต่พระเสขบุคคล ก็ยังมีโมหะเหลืออยู่ ต่างแต่ว่าใครจะมีมากมีน้อยกว่ากันเท่านั้น ใครมี(โมหะเหลือมาก)ความร้อนแลทุกข์ก็มาก ใครมีน้อย ความร้อนแลทุกข์ก็มีน้อย

สติ ระวัง สังวรในอายตนะ

อายตนะเป็นบ่อเกิดของอารมณ์ทั้งดีแลไม่ดี ใจเป็นผู้รับอารมณ์ ถ้าดีก็ชอบใจติดใจ ถ้าไม่มีก็ไม่ชอบใจเสียใจ วิสัยของปุถุชนย่อมเป็นอยู่อย่างนี้ ผู้เห็นโทษของอารมณ์ ว่าเป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ดังนี้แล้ว ย่อมตั้งสติ ระวังสังวรในอายตนะนั้นๆ โดยยึดอุดมคติว่า

“อารมณ์ ที่เข้ามาทางอายตนะทั้ง ๖ เป็นเครื่องทำลายความสุขสงบของจิตอย่างยิ่งแล้ว ก็ตั้งสติ ระวัง สังวรในอายตนะนั้นๆต่อไป เพื่อความเกษมสุขอันปราศจากอามิส นี้เป็นทางเอกทางเดียวเท่านั้น ที่จะนำผู้ประพฤติปฏิบัติตาม ให้ถึงนิรามิสสุข”

นอกนี้แล้วไม่มีหวัง สมดังพระพุทธวจนะ ที่พระพุทธองค์ทรงสอนพระภิกษุ ๕ รูป ที่ต่างก็พากันระวังสังวรในทวารทั้ง ๕ มีตาเป็นต้น แล้วเห็นอำนาจประโยชน์ว่า ที่ตนทำนั้นถูกต้องดีแล้ว แลนำความสุขมาให้สมดังประสงค์ โดยสรุปใจความได้ว่า

“ภิกษุผู้สำรวมในแต่ละทวาร ย่อมยังคุณประโยชน์ให้สำเร็จได้ทั้งนั้น ภิกษุผู้สำรวมแล้วในทวารทั้งปวง ย่อมพ้นทุกข์ได้” ดังนี้ฯ

เนื่องจากไฟสามกอง อันเป็นข้าศึก เกิดติดอยู่กับตัวตลอดกาล จึงเป็นของลำบาก ยากที่จะไม่ให้ไฟนั้นร้อนถึงตัวได้ ผู้ที่คุ้มกันไฟอันติดอยู่กับตัว แต่ไม่ให้ร้อนถึงตัวได้ จึงนับว่า เป็นบุคคลน่าอัศจรรย์อย่างเยี่ยม เราท่านทั้งหลาย โดยเฉพาะผู้ที่ออกบวชแล้ว หรือผู้ที่เห็นโทษในกามทั้งหลาย โดยได้นามสมัญญาว่า เนกฺขมฺม ขอได้ติดตามยุทธวิธี ซึ่งจะได้อธิบายต่อไปนี้ดูว่า เมื่อทำตามแล้วจะได้คุณประโยชน์สมจริงหรือไม่ โดยยึดเอาอุดมคติดังกล่าวแล้วข้างต้น เป็นที่ตั้ง ทั้งผู้ที่ออกบวชแล้วแลไม่ออกบวช หากยังไม่เห็นโทษในกามคุณห้าอยู่แล้ว ก็ไม่ทราบว่าจะไปต่อสู้กับใคร เพื่อประโยชน์อันใด เพราะไฟสามกองดังกล่าวแล้ว ย่อมเกิดขึ้น ณ ที่อายตนะ ๖ อันมีอยู่ในตัวของเราท่านทุกคนนี้เอง

ผู้ไม่เคยทำจิตของตนให้สงบ ก็จะทราบว่าความสุขเกิดจากความสงบได้อย่างไร จึงเป็นที่น่าเสียดายมาก จะเห็นได้แต่ความเพลิดเพลินของจิต อันหลงระเริงสนุกเฮฮา ไปตามอารมณ์ที่ตนชอบใจเท่านั้น ว่าเป็นสุขอย่างยิ่ง เหมือนกับปลา ผู้ไม่รู้เรื่องความสนุกสนาน ที่มีอยู่ในป่าเถื่อนดงดอน อันเต่าผู้เป็นสหายเห็นแล้วนำมาเล่าสู่ฟัง ฉะนั้น

เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็จะไม่มีฉันทะความพอใจ ในอันที่จะระวังสังวรในอายตนะ ๖ ต่อไป ผู้ที่ได้ฝึกฝนอบรมจิตให้เข้าถึงความสุขสงบอันปราศจากอามิสได้แล้ว ย่อมเห็นภัยในอารมณ์ ที่เกิดจากอายตนะเหมือนข้าศึกที่น่ากลัวฉะนั้น

ชั้นสูงจากสวรรค์ลงมา ต่ำแต่นรกขึ้นมา เป็นภูมิที่อยู่ของกามาพจรสัตว์ ผู้ล่องลอยอยู่ในกามคุณห้า มนุษย์เกิดมาด้วยอำนาจวิบากของกามาพจรกุศล จึงต้องวนวุ่นอยู่กับกลิ่น คือกามารมณ์ อายตนะทั้ง ๖ จึงทำหน้าที่รับเอาอารมณ์ขนาดหนักอยู่ตลอดเวลา

ถึงแม้จะ เห็นโทษว่าเป็นของวุ่นวาย นำมาซึ่งความเดือดร้อน แต่ก็จำต้องรับวิบากไปตามกาล เพราะได้ตกอยู่ในห้วงของกรรมแล้ว ผู้เห็นโทษเท่านั้นจึงคิดที่จะต่อสู้เพื่อเอาชนะมันได้ แล้วดำเนินตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า “ให้ตั้งสติระวัง อย่าให้หลงใหลไป ตามกระแสของอารมณ์ทั้ง ๖ เพราะทวารทั้ง ๖ นี้ จำต้องใช้มันอยู่ตลอดเวลา”

ตาเห็นรูป ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากกามาพจรกุศล รูปที่ตาเห็น ก็เป็นวัตถุที่อยู่ในกามภูมิ ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากกามาพจรกุศล ใจผู้รับรู้รับเห็นอารมณ์ ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากกามาพจรกุศล ฉะนั้น อารมณ์ที่เกิดขึ้นจากสัมผัสของสองอย่างนั้น จึงต้องเป็นกามาพจรสืบไปด้วย คือมียินดียินร้าย ชอบใจแลไม่ชอบใจ แล้วแต่ไฟสามกอง คือ ราคะความรักใคร่ชอบใจ โทสะความไม่พอใจขึ้งโกรธ ความคับแค้นแน่นอุรา โมหะความลุ่มหลงมัวเมา เข้าใจผิด ติดในอารมณ์นั้นๆ แล้วเข้าไปยึดถือ เอามาเป็นตนเป็นของตน ก็เข้ามารุมเผากายใจของตน ให้เร่าร้อนเป็นทุกข์ หูแลเสียง จมูกแลกลิ่น ลิ้นแลรส กายแลสัมผัส ใจแลธรรมารมณ์ ทั้ง ๕ นี้ ก็มีอาการเช่นเดียวกัน แล้วบางที่ก็ต้องใช้พร้อมๆ กันทั้ง ๖ ทวารก็มี บางที่ก็ต้องเพียง ๒-๓-๔-๕ บ้าง สุดแล้วแต่กรณี ตลอด ๒๔ ชั่วโมง หากตนคนนั้นมีอายุ ๕๐-๖๐-๗๐ ขึ้นไปละ ลองคิดดูว่า ความเร่าร้อนเป็นทุกข์ของเขานั้น จะมีมากน้อยสักเท่าไร

มโนทวาร

บางคนอาจสงสัยว่า อายตนะนี้นอนหลับแล้วไม่ต้องใช้ ขอเฉลยไว้ ณ ที่นี้เลยว่าต้องใช้ คือ “มโนทวาร” คือใจ มีอายตนะครบถ้วนอยู่แล้ว เรียกว่า “อายตนะภายใน” มันทำงานอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน กายพักผ่อนนอนหลับแล้ว ใจไม่หลับ ที่เราเรียกกันว่าฝัน แล้วในฝันนั้นมันมีขันธ์ ๕ อายตนะครบบริบูรณ์เลย แต่ที่ไม่ฝัน นั่นเป็นเพราะสัญญานามธรรมไม่ร่วมทำงานด้วย

แท้ที่จริง ใจนี้ไม่มีการพักผ่อนหลับนอนเลย ใจจะพักทำงานได้ ก็ต่อเมื่อ ใจได้อบรมกรรมฐานโดยถูกต้อง แล้วเข้าถึงฌาน (คือภวังค์จิต) ถ้าจะพูดให้ชัด ภวังค์จิต ก็ยังไม่ชื่อว่า “จิตพักโดยสมบูรณ์ ต้องเข้าถึงนิโรธสมาบัติ ดับความรู้สึกนึกคิดทั้งหมด แม้แต่ลมหายใจก็ไม่ปรากฏ”

เพราะภวังค์เป็นแต่หยุดงาน อันเกี่ยวข้องด้วยอารมณ์ หรืออายตนะภายนอกเท่านั้น ส่วนอายตนะภายในใจ ซึ่งเกิดกับดับพร้อมอยู่ ณ ที่ใจโดยเฉพาะแล้ว หาได้หยุดไม่ ยังคงทำงานอยู่ตามเดิม แต่มันเป็นงานอันละเอียดเฉพาะส่วนตัว ถ้าจะเปรียบแล้ว เหมือนกับเราหยุดรับงานอื่นๆ มีงานรับแขกเป็นต้น แล้วเข้าห้องเขียนหนังสือเป็นต้น

ฉะนั้น ผู้ที่ไม่ได้ระวังสังวรในอายตนะทั้งหลาย จึงต้องได้รับความเดือดร้อนเป็นทุกข์มาก เพราะอารมณ์มาก แลมีทั้งดีทั้งชั่ว ผู้มาพิจารณาเห็นโทษแล้ว จึงต้องระวังสังวร ในอายตนะทั้งหลาย เพื่อมิให้ใจหลงใหลไปในอารมณ์ต่างๆ

อุบาย

ฉะนั้น งานนั้นจึงต้องใช้ทั้งสติ แลปัญญาแยบคายอันฉลาดแหลมลึก แลความกล้าหาญอดทน จึงจะเอาชนะกับอารมณ์ได้ เช่น ตาเห็นรูป ธรรมดาใครๆ ก็ต้องการดูแต่ที่สวยๆ เพื่อให้เกิด ความเพลิดเพลิน เจริญตาเจริญใจ ซึ่งกามสัตว์ทั่วไปปรารถนาอยู่แล้ว แต่ผู้เห็นโทษแล้ว กลับเห็นความเพลิดเพลินนั้น เป็นความหลงใหลไร้สาระ อย่าว่าแต่ถึงกับเพลิดเพลินเลย แม้ขณะที่จิตแล่นออกไปจากความเป็นหนึ่งของจิต ก็เห็นเป็นภัยอันใหญ่หลวงแล้ว สมกับที่ว่า “ภยทสฺสี ผู้ที่ปกติเห็นภัยมีประมาณเล็กน้อย”

เนื่องจากกายแลจิตเป็นวิบากของกามาพจรกุศล แลตกอยู่ในท่ามกลางของกามภูมิ ดังกล่าวแล้ว ฉะนั้น จิตจึงมักตกไปในกามารมณ์ได้ง่าย

ผู้เห็นโทษแล้วจึงต้องใช้อุบายให้ตรงกันข้าม เห็นตามเป็นจริงว่า รูปเป็นแต่สักว่าธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ หรือเห็นเป็นอสุภะของไม่งาม ไม่เที่ยงแท้แน่นอน เป็นทุกข์ เป็นของสูญเปล่า หาแก่นสารไม่ได้ เป็นต้น เมื่อพิจารณาไปๆ จิตมันถอนออกจากอุปาทาน ความเห็นผิดเดิมเสียได้ มาเห็นแน่ชัดในใจ ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงว่า ที่เห็นเป็นคนเป็น มนุษย์บุรุษชายหญิง สวยไม่สวย น่ารักน่าเกลียดนั้น แท้จริงนั้นเป็นความหลงเข้าใจผิดต่างหาก หาได้เป็นไปตามนั้นไม่ ผู้มีปัญญามาพิจารณาเห็นอย่างนี้ เรียกว่าผู้ตื่นจากหลับหรือความหลง จึงจะตรงกันว่า เนกฺขมฺม โดยแท้

ข้าศึกตีวงล้อม และไส้เกิดเป็นหนอน

ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ข้าศึกตีวงล้อมเราอยู่ทั้ง ๖ ทิศ มันหมายพิชิตแย่งเอาอิสระของเรา หากเราไม่ใช้กำลังศรัทธาพละ วิริยพละ สติพละ สมาธิพละ ปัญญาพละ ยอมสละชีพเพื่อความอยู่รอดของตนแล้ว มีหวังเป็นทาสของข้าศึกอย่างแน่นอน

ข้าศึกอย่างที่ว่านี้ ถึงชนะมันแล้ว ก็อย่าได้วางใจข้าศึกภายใน มันเข้าลักษณะที่ว่า ไส้เกิดเป็นหนอน คนสนิทคิดขบถได้ง่ายกว่าคนอื่นไกล ชนะเพราะเห็นตามเป็นจริงแล้ว อย่าได้ประมาทว่า จะได้ไม่หลงเห็นผิดอีก ข้อนั้นจะไม่สมหวังตลอดไป เพราะใจเป็นของเบากลับกลอกได้ง่าย อนึ่ง ใจที่เราปฏิวัตินั้น มันได้หลงใหลในอารมณ์มานานแสนนาน การที่ใจกลับกลอกหลงใหล ไปสู่สภาพเดิมเป็นของง่าย เหมือนน้ำไหล

ท่านผู้อ่านทั้งหลาย อารมณ์ที่เข้ามาทางทวาร ๖ เปรียบเหมือนข้าศึกของใจ ที่หวังจะ แย่งเอาความสุขสงบของผู้มีความสงบอยู่แล้ว ผู้ต้องการจะชิงชัยเอาชนะ ก็คือสติ โดยใช้ ปัญญาอันคมกล้าเป็นอาวุธในยุทธสนาม อันกว้างศอกยาววาหนาคืบนี้เอง ใจเป็นผู้หลง ใจก็ต้องเป็นผู้แก้ความหลงของตนเอง ใจจึงต้องรับหน้าที่ต่อต้านกับความหลงอย่างหนัก

การปฏิวัติความหลงของใจ ให้เกิดปัญญา เห็นตามเป็นจริง มิใช่ของทำง่าย จำต้องใช้ความพยายามอย่างพลีชีพ เป็นทหารหาญ เอาเยี่ยงอย่างพระบรมครูของเรา จึงจะชนะได้ ถึงเราชนะความหลงใหลแล้ว อายตนะทั้ง ๖ อันเป็นช่องทางให้ใจเกิดความหลง ก็คงยังเป็นอายตนะ แลอยู่ร่วมกันกับผู้ชนะนั่นเอง

คนสนิทคิดขบถ ย่อมทำได้ง่ายกว่าคนอื่นไกลเป็นไหนๆ มันจะเข้ากับหลักที่ว่า ไส้กลับกลายเป็นหนอน คิดว่า “ผู้เอาชนะแล้ว จะไม่แพ้อีก” ข้อนั้นจะไม่สมหวังตลอดไป ใจเป็นของกลับกลอกได้ง่าย แล้วก็เคยหลงใหลเข้าใจผิดมานานแสนนานกว่าที่เราจะมาปฏิวัติให้เห็นชัดของจริงตามเป็นจริง จึงเป็นของทำได้ยาก เมื่อผู้ชนะแล้ว จึงไม่ควรประมาทด้วยประการทั้งปวง

ให้ชำนาญ

ให้เห็นอารมณ์ที่เข้ามาในทวารทั้ง ๖ ว่าจะเป็นภัยคุกคามแก่ความสงบสุขของใจอยู่เสมอ ในหลักปฏิบัติท่านสอนให้เจริญ “วสีห้า” คือ

ให้ชำนาญในการพิจารณาอารมณ์ ไม่ว่าอารมณ์ใดๆ ใกล้ไกล หยาบละเอียด ให้พิจารณาให้ได้ให้เห็นชัดเหมือนกันหมด ๑

ให้ชำนาญในการเข้าจิต คือเข้าฌาน-สมาธิให้ได้ในอิริยาบถใด อยู่ในสถานที่ใด ก็ให้เข้าให้ได้ทุกขณะ ๑

ให้ชำนาญในการตั้งอยู่ของจิต คือเมื่อจิตเข้าฌาน-สมาธิได้แล้ว จะให้จิตนั้น ตั้งอยู่ในขั้นใด ภูมิใด ช้านานสักเท่าไรก็ได้ตามประสงค์ ๑

ให้ชำนาญในการตรวจตราชั้นภูมิของจิตทั้งของตนแลของคนอื่น ๑

ให้ชำนาญในการถอนจิต คือจิตเข้าถึงฌาน-สมาธิแล้ว เวลาจะถอนออกจากนั้นมา ให้รู้จักลักษณะอาการนั้นๆ ของจิต มิใช่เวลาจะถอนปุ๊บปั๊บถอนออกมาเลย ๑

ทำให้มาก เจริญให้ยิ่ง

ผู้ชำนาญในวสีห้านี้ ฌาน-สมาธิของผู้นั้นจะไม่มีเสื่อมเลย พระพุทธองค์จึงทรงตรัสย้ำว่า “ภาวิตา พหุลีกตา อภิญฺญาย สมฺโพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตติ” แปลว่า ท่านทั้งหลายจงทำให้มาก เจริญให้ยิ่ง จึงจะเป็นไปเพื่อความตรัสรู้ เพื่อความดับทุกข์ดังนี้ คือพระองค์ประสงค์ว่า ทั้งผู้ที่กำลังเจริญอยู่ก็ดีหรือผู้ที่เจริญเป็นไปแล้วก็ดีในกรรมฐานหรือฌาน-สมาธิ-วิปัสสนาใดๆ ก็ตาม ไม่ให้ประมาท จงพากันเจริญอยู่เสมอๆ เพราะสิ่งที่จะยั่วยวนชวนให้เราหลงใหล มีอยู่รอบตัวในตัวของเรานี้ตลอดกาล

ถ้าผู้ใดมาเห็นว่า ตัวของเราทั้งหมดพร้อมด้วยสิ่งแวดล้อม ตกอยู่ในภายใต้ของกามคุณห้า จะทำอย่างไรๆ ก็เอาชนะมันไม่ได้ ไปไม่พ้นแล้ว ผู้นั้นชื่อว่า “เป็นผู้ยอมแพ้แล้ว (ตั้ง)แต่ยังไม่ทัน ออกสู่สนาม”

ถ้าผู้ใดมาเห็นว่า การรักษาอายตนะทั้ง ๖ เป็นการยุ่งยากลำบากมาก ผู้นั้นได้ชื่อว่า “กำลังต่อสู้กับข้าศึกอยู่ ชัยชนะมอบไว้ให้แก่กาลเวลาในอนาคต”

ถ้าผู้ใดมาเห็นว่า อายตนะทั้ง ๖ เรารู้เท่าเข้าใจตามความเป็นจริงแล้ว อารมณ์ทั้ง ๖ เราเอาชนะมันได้แล้ว ผู้นั้น ได้ชื่อว่า “ใกล้อวสานแห่งการแพ้ต่อข้าศึกอยู่แล้ว ความหายนะ กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้เข้า ทุกวินาที”

ธรรมกลางๆ

ธาตุ ๔ เป็นวัตถุธาตุล้วนๆ ไม่ได้เกี่ยวด้วยจิต

ขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ เป็นธาตุประสม แต่ไม่ได้จัดว่าเป็นตัวกิเลส เป็นแต่บัญญัติธรรมเท่านั้น

ผู้หลงผิดคิดว่าธรรมสามกองนี้เป็นตน เป็นของของตน แล้วเข้าไปยึดถือเอามาไว้เป็นอุปาทาน จึงจัดเป็นกิเลส

ผู้จะกล่าวถึงโลกสามแล้ว ก็ต้องกล่าวอยู่ในขอบเขต ของธรรมสามกองนี้

ผู้เจริญสมถะ-วิปัสสนา-กรรมฐาน ต้องการจะข้ามพ้นโลกสาม ก็มาตั้งต้นบันไดขั้นแรก ตรงที่ธรรมสามกองนี้

ธรรมสามกองนี้ จึงเป็นทั้งโลกียะแลโลกุตตร

ผู้มายกเอาธรรมสามกองนี้ขึ้นมาปรารภ โดยเห็นว่ามนุษย์ สิงสาราสัตว์สารพัด ซึ่งมีอยู่ในโลกนี้ นับตั้งแต่ตัวของเราเป็นต้นไป เห็นเป็นเราเป็นของของเรา เป็นมนุษย์ บุรุษ ชายหญิง เป็นนั่นเป็นนี่ เรียกว่า ผู้เห็นโลกเป็นเรา

ผู้มาพิจารณาเห็นโลกมีตัวเราเป็นต้น เห็นเป็นแต่สักว่าเป็นธาตุ-ขันธ์-อายตนะเท่านั้น ไม่มีอะไรทั้งหมด ที่สมมติบัญญัติว่าอันนั้นเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นแต่สมมติบัญญัติลมๆ แล้งๆ ตามชอบใจของตนเท่านั้น แท้จริงสิ่งนั้นหาได้เป็นไปตามนั้นไม่ มันมีแต่บัญญัติคือ ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ เท่านั้น เช่น สมมติว่าผู้ชายชื่อขาว เมื่อเข้าไปตรวจตัวจริงแล้ว ผู้ชายจะไม่มีจริง จะมีแต่วัตถุธาตุเท่านั้น ซึ่งจะแยกออกไปก็เป็นธาตุ-ขันธ์-อายตนะต่างหาก คำว่าชาย ก็มีเพศ หรือลักษณะ อันเป็นเครื่องหมายต่างออกจากเพศหญิงเท่านั้น คำว่าขาว ก็แสดงลักษณะของธาตุดินอีก คนอื่นแลสิ่งอื่นนอกออกไปจากตัวของเราแล้ว ก็มีนัยดังแสดงมาแล้วนี้ทั้งนั้น ผู้มาพิจารณาเห็นอยู่อย่างนี้ เรียกว่าผู้พิจารณาเห็นโลกสามตามความเป็นจริง

ผู้พิจารณาเห็นเช่นนั้นแล้ว เข้าไปหลงติด เพลิดเพลินอยู่กับความเห็นของตนนั้น เรียกว่า ผู้ติดอยู่ในโลกสาม

เมื่อเห็นเช่นนั้น ชัดแจ้งด้วยญาณทัสสนะ อันชอบแล้ว จิตปล่อยวางเห็นเป็นสภาวธรรมตามเป็นจริงว่า “ทุกสิ่งทุกอย่าง มีความเกิดขึ้นมาแล้ว ตั้งอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วก็แตกดับสลายไป เป็นธรรมดา” เรียกว่า ผู้รู้แจ้งโลกทั้งสาม ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ เป็นธรรมกลางๆ

ผู้ตกอยู่ในกามโลก ก็ไปดึงเอาธรรมสามกองนั้นมาเป็นอัตตา หลงใหลเพลิดเพลิน ไปตามธรรมสามกองนั้น จะให้เกิดกามโลกไป

ผู้มาพิจารณาธรรมสามกองนั้น เห็นชัดเจน ด้วยปัญญาวิปัสสนา แต่ยังถอนความรู้ความเห็นนั้นไม่ได้ เรียกว่า ผู้ยังติดอยู่ในรูปโลก

ผู้มาพิจารณาเห็นเช่นนั้นแล้ว แลเห็นว่า การที่มาชอบใจพอใจอยู่กับความรู้ความเห็นเช่นนั้น เป็นของหยาบ ปล่อยวางความจำที่ว่า ชอบ ไม่ชอบ หรือความเป็นของเฉยๆ นั้นเสียได้ แล้วอยู่ด้วยความไม่มีอะไรทั้งหมด เรียกว่า ผู้ติดอยู่ในอรูปโลก

ที่เรียกว่าโลก เพราะไปติดอยู่กับความที่ว่า มีหรือไม่มี หรืออัตตาอนัตตา

น้ำเพียงใด ดอกบัวเพียงนั้น

ท่านผู้มีปัญญามาพิจารณาเห็นโลกสาม รู้ตามความเป็นจริงดังอธิบายมาแล้ว ท่านไม่เข้าไปยึดเอาโลกสามมาเป็นอัตตาหรืออนัตตา เป็นแต่เอาโลกสามนั้น มาเป็นเครื่องวัด ปัญญาญาณทัสสนะของท่านว่า นั่นโลกสาม นั่นปัญญาผู้รู้เห็นตามเป็นจริง ความรู้ที่รู้จริง จะต้องรู้แล้วปล่อยวาง ไม่หลงเข้าไปยึดเอาความรู้นั้น เข้ามาเป็นอัตตา หรืออนัตตาอย่างนี้ๆ

เมื่อตรวจดูจิตของตนก็ผ่องใสสะอาดพอๆ กับความรู้ความสงบ ไม่ยิ่งไม่หย่อน เป็นความรู้ที่ ปราศจากความปรุงแต่งใดๆ ทั้งหมด แม้แต่ความจำในอดีต อนาคต ก็มิได้เอามาใช้ในที่นั้น แต่เมื่อเอามาเทียบกับความรู้ชัดในนั้นที่นั้นแล้ว ตรงกับความจริงทุกๆ ประการ แต่มันชัดแจ้งกว่า มีรสชาติกว่า เมื่อมาตรวจดู ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ ก็เป็นจริงตามสัญญาบัญญัติอยู่อย่างนั้น มันมีสภาพเป็นอยู่อย่างไรมันก็เป็นอยู่อย่างนั้นตามปกติของมัน

จิตของท่าน จึงไม่อยู่นอก อยู่ใน แลไม่นึกไม่เอา สิ่งใดมีสภาพเป็นอยู่อย่างไรมันก็เป็นอยู่เช่นนั้นตามเคย

เมื่อธาตุ-ขันธ์-อายตนะ ยังเป็นไปอยู่ คือยังไม่แยกออกจากกัน ต่างก็ทำงานตามหน้าที่ ของความเป็นอยู่ของธาตุนั้น เรียกว่า “ธาตุปริวัติ”

ความเป็นอยู่ของขันธ์นั้น เรียกว่า “ขันธ์วิบาก”

ความเป็นอยู่ของอายตนะนั้น เรียกว่า “ฉฬังคุเปกขา”

เมื่อธรรมสามกองนี้แยกกันแล้ว ผู้รู้ ผู้สำรวมรักษา ผู้พิจารณา ผู้มาเห็นตามเป็นจริง ก็หมดหน้าที่ตามๆกันไป สมมติบัญญัติก็ไม่มี

คำพังเพยโบราณท่านว่า “น้ำเพียงใด ดอกบัวเพียงนั้น” ความจริงดอกบัวมันอยู่บนน้ำ สายบัวต่างหากเป็นเครื่องวัดความลึกตื้นของน้ำ พร้อมกันนั้น น้ำก็เป็นเครื่องวัดของสายบัวไปในตัว รูปธรรม นามธรรม จิต กิเลส นิพพาน ย่อมเป็นเครื่องวัดของกันแลกันฉะนั้น

ธรรมเป็นของละเอียดมาก ยากที่ผู้มีปัญญาทั้งหลาย จะอธิบายให้ถูกต้อง ถึงเนื้อแท้ของธรรมได้บริบูรณ์ แต่ถูกต้องที่สุด ก็คือเป็นผู้หวังดีต่อผู้อื่น แล้วพยายามอธิบายอรรถธรรมนั้น เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจ ตามความสามารถภูมิปัญญาของตนๆ พระสัพพัญญูพุทธะ แลสาวกพุทธะ ก็มีฐานไม่เสมอกัน แต่ท่านทั้งหลายเหล่านั้น ก็มีปัญญาสามารถทำหน้าที่ของตนๆ ให้บรรลุตามความประสงค์ของตนได้

ผู้เขียนก็ขอสารภาพว่า ธรรมบรรยายที่แสดงมาทั้งหมดนี้ คงอธิบายไม่ถึงตามความลึกซึ้ง ของธรรมนั้นทั้งหมด เป็นแน่ แต่ด้วยอำนาจศรัทธาในท่านผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย จึงได้เขียนเสนอ เพื่อจะได้นำเอาไปพิจารณา หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย หากผิดพลาดคลาดเคลื่อนในอรรถธรรมข้อใดหมวดใด ขอท่านผู้รู้ทั้งหลาย ได้โปรดกรุณา ให้คำแนะนำตักเตือนผู้เขียนด้วย จะขอบพระคุณในความกรุณาเป็นอย่างยิ่ง.


คำปรารภ

เนื่องในงานฉลองอุโบสถฝังลูกนิมิต วัดพระงามศรีมงคล ซึ่งพระครูสีลขันธ์สังวร(อ่อนสี) ได้ชักชวนญาติโยมพากันก่อสร้างมาเป็นเวลานานถึง ๑๐ กว่าปี สิ้นเงินไปประมาณล้านกว่าบาท บัดนี้ได้สำเร็จเรียบร้อยแล้วด้วยความภาคภูมิใจยิ่ง การสร้างอุโบสถเป็นงานใหญ่แลงานละเอียด ต้องใช้เวลา แลความอดทน กล้าหาญ ต่อสู้กับอุปสรรคนานาประการ จึงจะสำเร็จได้ พระครูสีลขันธ์สังวร ท่านมีคุณธรรมดังกล่าวแล้ว ครบครันในตัวของท่าน จึงสามารถสร้างอุโบสถหลังนี้ให้สำเร็จได้ ซึ่งพระบางรูป แม้แต่ตัวข้าพเจ้าเอง ก็ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ นอกจากนี้ ถาวรวัตถุอันมีอยู่ในวัดพระงามศรีมงคล ที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้ทั้งหมดก็สำเร็จด้วยฝีมือของท่านทั้งนั้น (ขณะที่ท่านกำลังทำการก่อสร้างอุโบสถหลังนี้อยู่ ท่านยังได้ชักชวนคณะญาติโยม ให้ช่วยกันสร้างอุโบสถ วัดพระเจ้าองค์ตื้อ อันเก่าแก่ชำรุดทรุดโทรมให้กลับคืนดีมาอีกด้วย)

ฉะนั้น ท่านจึงเป็นที่เคารพนับถือของเหล่าพุทธศาสนิกชนเป็นอันมาก ในการฉลองฝังลูกนิมิตครั้งนี้ กรรมการจัดงานวัด ไม่ได้ทำรูปเหรียญ หรือเครื่องขลังของรางเป็นเครื่องชำร่วย แก่ผู้ที่มาบริจาคใดๆ ทั้งนั้น จะรับแต่เฉพาะผู้ที่มีจิตศรัทธา บริจาคสมทบก่อสร้างเท่านั้น แลได้พิมพ์หนังสือประวัติของวัด แลของพระครูสีลขันธ์ แจกเป็นธรรมทานด้วย ข้าพเจ้าพิจารณาเห็นว่า หนังสือควรจะให้มีเนื้อหาเป็นสารธรรมอยู่บ้าง ในขณะเดียวกันนี้ ข้าพเจ้าก็กำลังเขียนธรรมบรรยาย ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ สัมพันธ์อยู่แล้ว จึงได้ถือโอกาสรีบเขียน เพื่อให้เสร็จทันพิมพ์ต่อท้ายในหนังสือเล่มนี้ด้วย

หนังสือเล่มนี้ หากท่านผู้อ่าน ไม่เห็นเป็นหญ้าปากคอกละก็ หวังว่าคงจะไม่ไร้สาระ แลให้ประโยชน์แก่ท่านผู้สนใจในธรรมปฏิบัติตามสมควร โดยเฉพาะท่านผู้เจริญกรรมฐานภาวนา ถ้าอุสส่าห์คิดค้นตรึกตรองตาม อาจทำให้ท่านได้รับความรู้แปลกๆ ขึ้นมาบ้าง ดีกว่าจะนั่งหลับตา เพ่งเอาความสุขสงบ แล้วโงกง่วงซึมเซ่ออยู่เฉยๆ หากไม่คิดค้นตามหลักธรรม ให้เกิดแสงสว่างบ้าง จะไม่สามารถรักษาภูมิจิตของตนไว้ได้เลย

แล้วก็ขอเตือนไว้ ณ ที่นี้เสียเลยว่า การคิดค้นพิจารณา อย่าให้หนีจากหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ถ้าคิดค้นไปตามอารมณ์ชอบใจแล้ว มิใช่แตกปลอกแค่ มันมีหวังปลอกแตกแน่ การรู้จักประมาณ ท่านผู้รู้ทั้งหลายชมว่าเป็นของดี

เทสรังสี.


สังฆบูชา

ข้าพเจ้าและคณะได้มีโอกาส ซึ่งต้องถือว่าประเสริฐยิ่ง ที่ได้เห็นต้นฉบับของหนังสือเล่มนี้ ซึ่งเขียนโดยลายมือของพระเดชพระคุณท่านหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นมหามงคลอย่างยิ่ง แก่สายตาของผู้พบเห็น เพราะช่างงดงามล้ำเลิศ ลุ่มลึก ในข้ออรรถข้อธรรม ในโวหาร ในภาษา และในลายลักษณ์ ทุกบท ทุกตอน ตั้งแต่เบื้องต้นท่ามกลางท้ายสุด แห่งธรรมของหนังสือเล่มนี้ เพราะเดชพระคุณท่านหลวงปู่ได้แสดงไว้อย่างยอดเยี่ยมแห่งความ ลุ่มลึก สอนจิต สะกิดใจ สุดที่จะประมาณได้ ในการถ่อมองค์ของท่าน

พระเดชพระคุณท่านหลวงปู่ได้ให้อิสรภาพอย่างเต็มที่แก่ผู้อ่านทุกท่านที่เห็นว่าตนเองนั้นมีความรู้ดีกว่าองค์ท่านหลวงปู่ ท่านกล่าวว่า “…ได้โปรดกรุณาให้คำแนะนำ ตักเตือนผู้เขียนด้วย จะขอบคุณในความกรุณาเป็นอย่างยิ่ง” ช่างเป็นถ้อยความที่ถ่อมองค์ไว้อย่างนุ่มนวล ไพเพราะ ซาบซึ้งยิ่งนัก

แต่ข้าพเจ้ารู้สึกว่า พระเดชพระคุณท่านหลวงปู่ ได้แฝงคำสอนอันล้นค่ายิ่งไว้ด้วย คือ ให้ทุกคน อย่าได้ทะนงตน ถือตัว ในความมีเกียรติยศ ชื่อเสียง และอำนาจวาสนา อันใหญ่ยิ่ง จนมิอาจจะรับฟังคำแนะนำ ตักเตือนจากผู้ใดได้

ข้าพเจ้าขอถือเอาโอกาสเนื่องในวาระทำบุญฉลองอายุ ๙๐ ปีบริบูรณ์ ของพระเดชพระคุณท่านหลวงปู่นี้ จัดพิมพ์หนังสือเรื่อง “ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ สัมพันธ์” ซึ่งเขียนโดยลายมือของพระเดชพระคุณท่านหลวงปู่เอง เพื่อเผยแพร่ธรรมะ และเป็นมหามงคลแก่สายตาของปวงศิษย์และท่านผู้อ่านทั้งหลาย จึงได้กราบเรียนขออนุญาตจากพระเดชพระคุณท่านหลวงปู่ จัดพิมพ์น้อมถวายเพื่อเป็น “สังฆบูชา” แด่พระเดชพระคุณท่านหลวงปู่ และท่านก็เมตตาอนุญาต นับเป็นกรุณาธิคุณอย่างหาที่เปรียบมิได้ที่ท่านมีต่อศิษย์

ข้อผิดพลาด บกพร่อง และมิบังควรอันเกิดขึ้น จากการทำหนังสือเล่มนี้ โดยความเขลาและด้อยด้วยสติ-ปัญญา ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้านมัสการกราบแทบเท้า ขอพระเดชพระคุณท่านหลวงปู่ได้โปรดกรุณาประทานอภัยแก่ข้าพเจ้าและคณะศิษย์ด้วย

และด้วยมหากุศลที่พระเดชพระคุณท่านหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ได้กระทำแล้วในทุกวิถีทาง ณ บัดนี้ ขอภิกษุสงฆ์ เหล่ามนุษย์ อมนุษย์ เทพเทวา ทุกหมู่เหล่า จงได้โปรดอนุโมทนาบุญที่พระเดชพระคุณท่านหลวงปู่ได้แสดงธรรมะให้เป็นที่แจ้งประจักษ์แล้วในหนังสือเล่มนี้ ด้วยเทอญ.

คณะศิษย์
นครปฐม-สมุทรสงคราม

[จบ ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ สัมพันธ์: หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี]
คัดลอกมาจากหนังสือ “ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ สัมพันธ์” ซึ่งจัดพิมพ์เพื่อแจกเป็นอนุสรณ์ เนื่องในการทำบุญฉลองอายุครบ ๙๐ ปีบริบูรณ์ ของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ในวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๓๕ โดยเป็นการนำต้นฉบับที่เขียนโดยลายมือหลวงปู่มาจัดพิมพ์ – พิม geocities.com/Tokyo/Gulf/4126/tesk0001