เรื่องของความเกิด-ดับ

พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย

ต้นตอ ที่ทำให้เกิดทุกข์และดับทุกข์

ในโลกนี้ นอกจากรูปกับนาม คือกายกับใจแล้ว จะมีอะไรอีก สุขและทุกข์ก็ดี นอกจากทุกข์กายและทุกข์ใจแล้ว จะมีอะไร และที่ไหนอีก เมื่อของทั้งสองอย่างนั้นเกิดขึ้นแล้วหากไม่ตั้งอยู่บนกายและบนใจนี้แล้ว ก็ไม่ทราบว่ามันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร และที่ไหน

จิตก็เหมือนกัน ถ้าบุคคลจะทำการใดๆ เพื่อให้พ้นไปจากทุกข์ ถ้าไม่ทำให้พ้นไปจากกายจากใจนี้แล้ว ก็จะเพื่อประโยชน์อันใด

แต่ ทุกข์ก็มีอิทธิพลเหนือคำสอนของครูบาอาจารย์และใครๆทั้งหมด ทุกข์นั้นแหละเป็นเครื่องหล่อหลอมคนให้เป็นคน ให้มีความขยันหมั่นเพียรให้พึ่งตนเองได้ ให้เป็นครูบาอาจารย์อบรมสั่งสอนคนอื่นอย่างดีที่สุด ทุกข์เป็นมัคคุเทศก์นำทางให้คนตั้งตัวได้ ทุกข์เป็นเครื่องดึงดูดให้คนสร้างความดีความงาม มีทำทานรักษาศีลเป็นต้น

ทุกข์เป็นเครื่องวัดความสุขเสมือนปรอทเป็นเครื่องวัดอุณหภูมิ ผู้มีความสุขมากสุขน้อยต้องเอาทุกข์เข้าไปวัดเทียบ ผู้เกลียดทุกข์ไม่ชอบทุกข์ก็คือผู้ที่ไม่มีปรอท ผู้ชอบทุกข์รักทุกข์ก็คือผู้มีปรอทแต่ไม่ได้ทำการวัด ผู้เจริญฌานและนิวรณ์ห้าได้ก็ต้องใช้ปรอทนี้เป็นเครื่องวัด กายกับใจนี้เป็นพื้นฐานของโลก (คือทุกข์)

ผู้มีปัญญาทั้งหลาย หยิบยกเอาทุกข์อันนี้ขึ้นมาพิจารณา จนทราบเรื่องของทุกข์พร้อมด้วยมูลเหตุให้เกิดทุกข์ แล้วปล่อยวางทุกข์ทั้งหลายเหล่านั้นได้ ด้วยอุบายปัญญาอันชอบ จนบรรลุมรรคผลนิพพานได้ ก็ล้วนแล้วแต่มาตั้งต้นดำเนินไปจากกายกับใจ (คือทุกข์) นี้ทั้งนั้น

จะเห็นกายกับใจ แบ่งภาคกันได้ ต่อเมื่อจิตเข้าถึงฌาน-สมาธิแล้ว

จิตเป็นของหาตัวตนมิได้ ต่อเมื่อประสมโรงกันเข้ากับกายแล้ว จึงจะแสดงอาการออกมา ให้ปรากฎแก่สายตาของของคนอื่นได้ จิตเป็นสภาวธรรมอันหนึ่ง ซึ่งใครๆชี้ไม่ออกบอกไม่ถูก แต่ตัวของมันรู้ตัวมันเอง

  • ถ้ามันส่งส่ายออกมาตามประสาทต่างๆ เช่น ส่งออกมาตามจักษุประสาทเป็นต้น เรียกว่า จิต
  • ถ้ามันไปรับเอาแสงสะท้อนของรูปที่มากระทบจักษุประสาทนั้น เรียกว่า วิญญาณ
  • ถ้ามันไปยึดเอารูปนั้นเข้ามาไว้ เรียกว่า อารมณ์
  • ถ้าเกิดพอใจ ดีใจ เสียใจ อะไรขึ้นมา เรียกว่า เวทนา
  • ถ้าเกิดความอยากให้ มันเป็นอย่างนั้นอยู่ตลอดไป หรือไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นอีก เรียกว่า ตัณหา

ชื่อของจิตนี้มีมาก เรียกตามอาการลักษณะของมันที่มันแสดงออกมา ที่สมมุติเรียกชื่อมานี้ เป็นแต่เพียงเล็กน้อยตามความเข้าใจของผู้เขียนเท่านั้น ท่านผู้รู้ทั้งหลายอาจเรียกได้มากและสมมุติได้มากกว่านี้ หรืออาจเรียกชื่อผิดแผกออกไปจากนี้ก็ได้

ที่แสดงมานี้ พอให้เข้าใจถึงเรื่องที่ว่า จิต-วิญญาณ-อารมณ์-เวทนา ยังก่อน ยังไม่จัดเข้าเป็นกิเลส พอเข้าเขตตัณหาแล้วนั้นแล จิตตอนนั้นจึงจะมืดมนเศร้าหมอง ที่เรียกว่า กิเลส ตัณหา ก็ต้องเกิดตามสายรูปธรรม มีรูป-เสียง เป็นต้น ฉะนั้นเพียงแต่ลำพัง จิต-วิญญาณ-อารมณ์-เวทนา จึงยังไม่เกิดกิเลส พอถึงขั้นตัณหาจึงเกิดกิเลส ที่ท่านแสดงถึงเรื่องกิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปด ก็จัดตามสายนี้เอง

เรื่องทั้งหมดที่ อธิบายมานี้ ถ้าหากจิตยังไม่เข้าถึงฌานสมาธิ ระงับอารมณ์ภายนอกให้ขาดออกจากจิตเสียก่อนแล้ว ถึงแม้ชื่อและนามของกิเลสเราจะจำได้แม่นยำสักปานใดก็ตาม จะไม่มีวันรู้หน้าตาตัวจริงของกิเลสเลย เพราะกิเลส เป็นสภาวธรรมอันหนึ่งเหมือนกัน เมื่อจิตที่อบรมดีแล้ว แบ่งภาคออกมาจากรูปธรรมได้ นั่นแล จิตจึงจะสามารถรู้ตัวกิเลสได้ถูกต้อง

กิเลสของจิต เมื่อผู้มาเข้าใจโดยนัยนี้แล้ว สามารถชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ได้ ส่วนกายเป็นรูปธาตุ จะชำระอย่างไรๆ ภายในใจก็ยังสกปรกอยู่เช่นเดิม ดีหน่อยเมื่อชำระใจให้สะอาดดีแล้ว อาการกิริยาของกายมันจะเรียบร้อยขึ้น

กายกับใจเมื่อประสมโรงกันเข้าแล้ว ย่อมสามารถกระทำกรรมใดๆได้ทุกอย่างไม่เลือก แล้วแต่จิตจะบัญชา แต่ผลกรรมหรือผลงานที่เรียกว่าวิบาก ที่ทั้งสองร่วมกันกระทำนั้น เมื่อยังอยู่ร่วมกัน ก็ร่วมกันรับ ร่วมกันเสวยต่อไป เมื่อรูปแตกกายดับ เขาหนีไปตั้งทัพอยู่เฉพาะเขา คือเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ตามสภาพของมันแล้ว คราวนี้จิตเป็นผู้รับเคราะห์กรรมแต่คนเดียว เหมือนลูกไม้มีทุเรียนเป็นต้น เมื่อแก่สุกงอมแล้วหลุดหล่นลง จากต้นโดยมิได้บอกกล่าวลาต้นเลย ได้เมล็ดได้เนื้อสุกหอมหวานแล้วก็ไป เมื่อเมล็ดยังไม่ลีบไม่เน่า เขาไปสร้างต้นสร้างผลงอกงามขึ้นอีก

จิตก็เช่นนั้นเหมือนกัน เมื่อกายแตกดับไม่รับรู้อะไรแล้ว จิตเป็นผู้รับภาระผลกรรมแต่ผู้เดียว ผลกรรมนี่แหละ ที่จะนำจิตให้ไปก่อเกิดในภพนั้นๆต่อไป สมดังพุทธภาษิตว่า กัมมัสสกา จิตสร้างกรรมอันใดไว้ กัมมทายาทา จิตผู้สร้างกรรมนั้นแล จักได้รับผลของกรรมนั้นต่อไป กัมมโยนิ กรรมเป็นผู้ให้กำเนิด กัมมพันธุ กรรมเป็นต้นตระกูลของความเกิด กัมมปฏิสรณา กรรมเป็นที่พึ่งของจิต หรือจิตอาศัยกรรมเป็นที่ดำเนินก็ว่า

จิตที่จะไปเกิดในกามภูมิ

รูปกับนาม หรือกายกับจิตนี้ เป็นที่อยู่อาศัยของกามกิเลส ถ้าจิตยังกอปรด้วยกามกิเลสอยู่แล้ว จำต้องมาเกาะเกี่ยว เกิดในกามภูมินี้อีกต่อไป กามภูมิเป็นศูนย์กลางของภูมิทั้งหลาย ผู้ที่จะไปเกิดในสุคติกามาพจรทั้ง ๖ เป็นต้น ก็ต้องมาสร้างสมเสบียงเอาจากนี้ ผู้จะไปสู่อบายภูมิ มีสัตว์ดิรัจฉานเป็นต้น ก็ต้องมาสร้างสมเอาบาปกรรม ณ ที่นี้ทั้งนั้น แม้ผู้ที่ท่านจะถึงมรรคผลนิพพาน ก็ต้องมาสร้างบารมีเอา ณ ที่นี้ทั้งนั้นเหมือนกัน

กามภูมิ เป็นสถานที่น่าอภิรมย์ชื่นใจ ของผู้ยังไม่อิ่มไม่พอในกามทั้งหลาย จึงได้นามเรียกว่า กามคุณห้า ได้แก่ รูป-เสียง-กลิ่น-รส-โผฏฐัพพะ ทั้งห้านี้อำนวยคุณประโยชน์ให้แก่ผู้ยังต้องการ และปรารถนาอยู่นั้นเอง แต่ผู้มีปัญญาพิจารณาเห็นโทษของกามคุณทั้งห้าแล้ว รู้สึกอิ่มพอ และเบื่อหน่ายสละถอนเสีย ดังได้อธิบายมาแล้วใน กามาทีนพฯ

จิตที่พอใจรักใคร่ติดมั่นอยู่ในกามภูมิ ย่อมยินดีพอใจอยู่กับอารมณ์ทั้งห้ามีรูปเป็นต้น แม้จะประกอบกรรมใดๆ ก็ย่อมหวังผลเพื่ออารมณ์ทั้งห้านี้ทั้งนั้น เมื่อกายกับใจยังร่วมกันสร้างกรรมที่เป็นกามาพจรกุศลอยู่ ผลที่ได้รับก็ร่วมกันเสวยต่อไป เมื่อกายทรงอยู่ตลอดกาลอายุขัยดับไปแล้ว ผลกรรมนั้นยังไม่สิ้น จิตก็รับภาระต่อไป กรรมจะเป็นมัคคุเทศก์นำจิตให้ไปเกิดในคติที่เป็นกามภูมิต่อไป จึงสมกับพุทธภาษิตที่ว่า กัมมังสัตเต วิภชติ ความว่า กรรมที่สัตว์ทั้งหลายทำไว้แล้วนั้นแล จะเป็นผู้จำแนกสัตว์ให้เป็นไปตามอำนาจของมัน คนเราจะตกแต่งเอาตามชอบใจไม่ได้ ผู้มาพิจารณาเห็นโดยนัยนี้แล้ว จึงควรสร้างแต่กรรมดี อันจะนำตนให้ไปเกิดในภูมิอันสุขที่ตนปรารถนา ก่อนจะถึงโอกาสนั้น

กายแตกดับ แต่จิตที่ยังมีกิเลสอยู่ยังไม่ดับ

กายและจิต เมื่อยังปกติดีอยู่ ย่อมทำงานร่วมกันได้ทุกๆกรณี หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชำรุดพิการนั้นแล จึงจะทำร่วมกันไม่ได้ เพราะขาดสายสื่อสัมพันธ์กัน สายสื่อสัมพันธ์ที่ว่านี้ หลักวิชาแพทย์เขาเรียกว่าเซลล์ เช่น เซลล์สมองสั่งงานให้คิด ให้ส่งส่วยไปต่างๆนานาเป็นต้น ทางพุทธศาสนาเรียกว่าประสาท เช่น ประสาทตาทำให้เห็นรูป ประสาทหูทำให้ได้ยินเสียงเป็นต้น แต่บางที หมอเขาก็เรียกคนที่มีความคิดไม่ปกติ ว่าคนประสาทเสื่อมเหมือนกัน

จะอย่างไรก็ตาม นักอบรมจิตหรือผู้ภาวนากรรมฐาน เชื่อมั่นลงแน่แน่วทีเดียวว่า คนตายจิตออกจากร่างแล้วไม่ยอมรับรู้ ไม่ร่วมทำงานด้วยเซลล์หรือประสาท เซลล์หรือประสาทก็จะไม่มีผลอันใดทั้งหมด เมื่อความอบอุ่นยังมีอยู่ เซลล์หรือประสาทก็อาจยังมีปรากฎอยู่ก็ได้ แต่ไม่มีอันใดเป็นเครื่องรับรอง เพราะจิตผู้รับรู้ไม่มีเสียแล้ว เรื่องนี้เราจะสังเกตเห็นได้จากสัตว์ที่ตายใหม่ๆ ยังมีไออบอุ่นอยู่ ประสาทหรือเส้นเลือดของมันยังกระตุกเต้นอยู่เลย นั้นแสดงว่าเซลล์หรือประสาทมันยังทำงานอยู่ แต่ชีพจรหรือลมมันอ่อนจนไม่ปรากฎเสียแล้ว

ที่อธิบายมาทั้งหมดนี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่า เซลล์หรือประสาทมิใช่จิต เป็นผู้รับสัมผัสนั้นๆเท่านั้น จิตต่างหากเป็นผู้รับรู้สัมผัสนั้นๆ แล้วก็ยังไม่ทำให้เกิดกิเลสอันใดขึ้นมาก่อน ต่อเมื่อเกิด ตัณหา อุปาทาน ดังได้อธิบายแล้ว จึงจะเกิดกิเลสขึ้นมา ฉะนั้นถึงเซลล์หรือประสาทจะร่วมทำกรรมด้วยกันกับจิตก็ตาม เมื่อยังอยู่ร่วมกันก็ร่วมกันเสวยผลของกรรมนั้นสืบไป เมื่อเซลล์หรือประสาทชำรุด ทำงานตามปกติร่วมใจไม่ได้แล้วกายแตกดับ ผลของกรรมนั้น ใจจะเป็นคนรับเอาแต่ผู้เดียว แล้วผลกรรมคือวิบากนั้นแล จะเป็นมัคคุเทศก์นำจิตให้ไปเกิดในที่นั้นๆ ส่วนเซลล์หรือประสาทอันเป็นรูปธาตุ ไม่สามารถสลายตัวหนีไปจากกามภูมิพื้นดินอันนี้ได้ สลายตัวจากนี้แล้ว ก็ไปก่อตัวขึ้นในที่อื่นอีกต่อไป

พระอริยเจ้าที่ท่านชำนาญในการเข้าฌาน บังคับจิตให้อยู่ในองค์ฌานอย่างเต็มที่ เข้านิโรธสมาบัติอยู่ได้ตั้งอาทิตย์ ลมหยาบๆไม่ปรากฎระบายออกมาทางจมูกเลย เรียกว่าดับลมหายใจเข้าออก แต่ยังไม่ตาย ร่างกายทุกส่วนยังปกติอยู่ตามเดิม แต่หมดความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น ส่วนลมอันละเอียดที่ซาบซ่านไปตามสรรพางค์กายยังมีอยู่ ถึงเซลล์หรือประสาทจะยังทำงานอยู่ก็ตาม แต่จิตไม่มารับรู้ด้วยแล้ว

พอจะสรุปได้แล้วว่า คนเรานี้เมื่อรูปกับนาม คือกายกับใจยังปกติอยู่ ก็ทำงานร่วมกันไป บางทีจิตคิดจะทิ้งกายก็ทิ้งเอาเฉยๆ โดยกายไม่ยอมรับรู้ด้วยก็มีดังกล่าวมาแล้ว บทกายจะเบี้ยวจิต ก็มิใช่ย่อยเหมือนกัน อยู่ดีๆบางทีช็อคตาย รถทับตาย ตกเครื่องบินตาย เสันโลหิตแตกตาย ฯลฯ จิปาถะ ทั้งๆที่จิตมิได้มีเรื่องอะไรกับกายเลย มันแปลก กายกับจิตนี้ ก่อนเขาจะมาอยู่ร่วมกัน ก็ไม่ได้สนิทสนมกันมาแต่ก่อนเลย เวลาเขาจะแยกทางกันไปก็ไม่ได้บอกเล่าเก้าสิบอะไร โดยเขาไม่ได้มีเรื่องอะไรกันสักนิดเดียว แล้วก็ไม่มีใครจะอาลัยอาวรณ์ถึงกันและกันเลย แยกทางกันไปแล้วก็แล้วกัน

ถ้าอย่างนั้น อะไรเล่า เมื่อเจ็บหรือจวนจะตาย ทำให้เป็นทุกข์เดือดร้อน พระพุทธเจ้าตรัสว่านั่นคือกิเลส ใจมันไปหอบเอากิเลสมาไว้ที่ใจ คนเราเลยถือว่าใจเป็นกิเลส หากใจเป็นกิเลสเสียเอง แล้วใครเล่า จะชำระใจให้บริสุทธิ์ได้ ใจมิใช่กิเลส กิเลสมิใช่ใจ แต่ใจไปรับช่วงเอาผัสสะอันเกิดจากอายตนะ เช่น ตาเห็นรูปเป็นต้น แล้วเอามายึดไว้ที่ใจ จนเกิดความรักใคร่พอใจ หรือเกลียดโกรธไม่พอใจ จึงทำใจให้มัวหมอง เพราะของสิ่งนั้นเป็นเหตุต่างหาก จึงเรียกว่ากิเลส

ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ เป็นบัญญัติธรรม บอกให้รู้ว่าสิ่งนั้นชื่อว่าอย่างนั้น มีหน้าที่อย่างนั้นๆต่างหาก จิตเป็นผู้เข้าไปยึดเอาบัญญัติธรรมมาเป็นตนเป็นตัว เมื่อบัญญัติธรรมทำงานตามหน้าที่ของมันอยู่ จิตก็เลยถือว่าตนเป็นผู้รับหน้าที่ทำงานไปเสียเอง จึงเข้าใจว่าจิตของตนเป็นกิเลส ธาตุแท้ของตะกั่วก็เป็นตะกั่วอยู่ตามเดิม ถึงแม้จะประสมเข้ากันกับทองคำแล้วก็ตาม เมื่อไล่ทองคำออกแล้ว ตะกั่วก็ต้องเป็นตะกั่วอยู่ตามเดิมนั้นเอง

กายเป็นรูปธาตุ จิตเป็นนามธรรม สังขารเป็นอาการของจิตคิดปรุงแต่งรูปธาตุมาเป็นพาหนะให้ชั่วระยะหนึ่ง เมื่อหมดความจำเป็นแล้ว ก็ทอดทิ้งไว้ที่เดิมของมัน สังขารจิตรกรช่างใหญ่สร้างโลกไม่มีที่สิ้นสุด ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย โลกนี้จึงกว้างใหญ่ไพศาลหาประมาณมิได้

ผู้เขียนรู้ตัวว่า เรามิใช่นักกายวิภาคชีววิทยา ที่อธิบายไปนั้น เป็นเพียงมติของตนเอง เพื่อประโยชน์แก่อารมณ์ของผู้เจริญกรรมฐานเท่านั้น อาจผิดหรือถูกก็ได้ จึงขออภัยแด่ท่านผู้รู้ทั้งหลายไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย หากผิดพลาดจะกรุณาเพิ่มเติมหรือให้ความสว่างอีกผู้เขียนก็ขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย

กรรมนิมิต และคตินิมิต เป็นผู้นำให้ไปเกิดในคตินั้นๆ

ผลผลิตของกายกับใจร่วมกันกระทำไว้นั้น เรียกว่า “กรรม” ผลของกรรมที่จะนำไปให้เกิดผลนั้น หาตัวตนมิได้ แต่จะปรากฎเกิดขึ้นเฉพาะในใจของผู้กระทำเท่านั้น หากจะแสดงให้ปรากฏออกมาทางกาย และวาจาบางกรณี เช่น คนผู้เคยฆ่าหมูเป็นอาชีพ โดยมิได้กระดากใจเลยแม้แต่น้อย เวลากายทรุดโทรมจวนจะตาย อาจแสดงอาการส่อถึงบาปกรรมของเขาที่กระทำไว้นั้น เช่น ร้องออกมาเป็นเสียงสุกร แสดงปฏิกิริยาเหมือนสุกรจะตาย หรือทำท่าทีฆ่าสุกรแล้วโฆษณาให้คนอื่นเขาเห็น โดยตนเองไม่ตั้งใจจะทำเช่นนั้น แต่มันเป็นไปเอง ดังนี้เป็นต้น นั้นมันเป็นการแสดงถึงผลกรรมที่เขากระทำไว้ เพียงเพื่อผู้ได้เห็นแล้วอนุมานเอาให้ใกล้ต่อความจริงเท่านั้น แต่ตัวกรรมและผลกรรมที่แท้จริงแล้ว ไม่มีใครรู้เห็นด้วย นอกจากตัวของผู้กระทำเท่านั้น

กรรมนี้ท่านแสดงไว้ในธรรมวิภาคปริเฉท ๒ หลักสูตรนักธรรมโท มีถึง ๑๒ แต่ในที่นี้จะไม่ขอนำมาอธิายอีก เพราะในนั้นท่านอธิบายไว้ดีแล้ว ในที่นี้จะแสดงเฉพาะกรรมนิมิตและคตินิมิตอันเป็นทูตของยมบาลเท่านั้น ใครจะทำกรรมดีกรรมชั่วไม่ว่าในที่ลับและที่แจ้ง อย่าได้คิดว่าทูตของยมบาลจะไม่รู้ไม่เห็นเลย เขาตามรู้ตามเห็นได้ทุกโอกาสทีเดียว

คนเรา ก่อนกายจะแตกดับ เมื่อจิตปล่อยวางร่างกาย ไม่มีความรู้สึกแล้ว จะมีภาพอันหนึ่งเกิดขึ้น ให้ปรากฏเห็นเฉพาะใจตนคนเดียว โดยที่เราจะตั้งใจดู หรือไม่ก็ตาม ภาพอันนั้นถ้าจะเปรียบให้เห็นง่ายๆ ก็คล้ายกับภาพนิมิตในความฝัน ภาพนิมิตอันนั้นแล มันจะมาแสดงผลกรรมของเราที่เราได้กระทำไว้แล้วในอดีต บางทีเราอาจลืมไปแล้วนาน แต่มันมาปรากฏให้เราเห็นและระลึกขึ้นมาได้ เป็นต้นว่า เราเคยได้สร้างโบสถ์วิหารถวายกฐินทานเป็นอาทิ วัตถุทานนั้นก็จะมาปรากฏขึ้นให้เราเห็น แต่ภาพนิมิตนี้จะสวยสดงดงาม และวิเศษยิ่งกว่าที่เราได้กระทำไว้นั้น จนเป็นเหตุให้เมื่อเราได้เห็นเข้าแล้วเกิดปีติ อิ่มอกอิ่มใจจนหาที่เปรียบมิได้ แล้วจิตจะไปจดจ้องจับเอานิมิตนั้นมาไว้เป็นอารมณ์ ให้เกิดความสุขโดยส่วนเดียวที่เรียกว่า “สัคคะ” ผู้สร้างบุญกุศลจะเห็นผลชัดแจ้งด้วยใจตนเองก็ตอนนี้

ที่นี้ จิตมิได้เกี่ยวข้องด้วยกายอีกแล้ว กายจะเจ็บจะแตกจะดับ จิตไม่รับรู้ทั้งนั้น ท่านแสดงไว้ว่า สัตว์จะตาย จิตทอดทิ้งร่างกายไปก่อน แล้วกายจึงกับภายหลัง แต่เมื่อเกิด รูปเกิดก่อน แล้วจิตจึงมาปฏิสนธิทีหลัง ที่ว่านี้ คือจิตผู้รู้สึกซึ่งรับช่วงมาจากเซลล์หรือประสาท ไม่ปรากฏเสียแล้ว ณ ที่นั้น แต่เซลล์หรือประสาทยังสามารถทำงานอยู่ ดังกล่าวแล้วเพราะความอบอุ่นยังมีอยู่ ความอบอุ่นนี้มันเกิดจากสวาบหรือกระบังลม กระบังลมยังไหวตัวอยู่ ลมก็ยังซ่านไปตามส่วนต่างๆของร่างกายได้อยู่ ประสาทหรือเซลล์ก็ยังปรากฏอยู่ แต่ลมนั้นยังเหลือน้อย จนไม่สามารถจะยังชีพให้เป็นอยู่ได้ตามปกติ และในที่นั้น จิตผู้รับรู้ช่วงจากเซลล์หรือประสาทก็ไม่ปรากฏเสียแล้วจึงเรียกว่าตาย

ที่นี้ เมื่อจิตได้รับความสุขโดยมโนทวาร อันปราศจากเซลล์หรือประสาทดังกล่าวแล้ว มันเป็นความสุขอันหาประมาณมิได้ ฉะนั้น ท่านจึงแสดงความสุขของผู้ทำบุญแล้วไปเกิดในสวรรค์ว่า เป็นความสุขยิ่งยอด แล้วก็เสวยความสุขนั้นอยู่นานแสนนาน ถ้าจะเทียบอายุของชาวสวรรค์ชั้นจาตุมฯ กับของมนุษย์แล้ว ร้อยวันร้อยคืนของมนุษย์นี้ จึงจะเป็นวันหนึ่งคืนหนึ่งของเขา แล้วอายุของเขาก็ยืนนานนับเป็นหมื่นๆปีเหมือนกัน ถ้าจะเปรียบพอจะอนุมานความสุขที่นั้น เหมือนความสุขที่ได้รับในขณะที่นอนฝัน ความสุขในขณะนั้น สุขมาก เพราะมิได้เอาเซลล์หรือประสาทมาใช้ร่วม สุขเฉพาะใจล้วนๆ ความสุขของพระอริยเจ้าที่ท่านเข้านิโรธสมาบัติก็ทำนองเดียวกัน

ตรงกันข้ามผู้ที่กระทำกรรมชั่วไว้ กรรมนิมิต ก็จะเกิดในขณะเดียวกัน แต่จะเป็นเรื่องทนทุกข์ทรมานมากจนเหลือจะอดทน เพราะกรรมตามสนอง ความทุกข์ทรมานของกายถึงขนาดร่างกายจะแหลกเหลวเปื่อยเน่าไปก็ตาม แต่มันก็ยังมีชีวิตอยู่ไม่ตาย ท่านเทียบอายุของสัตว์ในนรกไว้ว่า ร้อยวันร้อยคืนของชาวสวรรค์ชั้นจาตุมฯ จึงจะเป็นวันหนึ่งคืนหนึ่งของสัตว์ในนรก แล้วก็มีอายุยืนนานเป็นหมื่นๆปีเหมือนกัน ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะความทุกข์มันเป็นของเผ็ดร้อนทนได้ยากไม่มีใครปรารถนา ถึงทุกข์จะเป็นของน้อยแต่มันมีน้ำหนักมาก

ที่อธิบายมานี้เรียกว่ากรรมนิมิต ขณะที่มีชีวิตอยู่จิตย่อมร่วมกันทำงานกับเซลล์หรือประสาท แล้วสังขารเป็นผู้ปรุงแต่งให้กระทำกรรมนั้นๆอย่างสนุกสนาน แต่เมื่อกายแตกดับ เซลล์หรือประสาทก็จะละหน้าที่ของตนเสีย กรรมที่ได้ร่วมกันทำไว้นั้น ก็จะมาปรากฏให้ใจเห็นเป็นผู้รับมรดกแต่ผู้เดียว แล้วกรรมนิมิตนั้นแล จะเป็นผู้บัญชาให้ไปเกิดในคตินั้นๆ อีกต่อไป ตามอำนาจและวิสัยของตน

เท่านั้นยังไม่พอ ด้วยพลังอำนาจของกรรม ยังให้เกิดคตินิมิตอีกอัน จะชักนำให้ผู้กระทำกรรมนั้นๆแล้วไปเกิดในที่นั้นๆ แล้วก็เกิดในลำดับเดียวกันกับกรรมนิมิตนั้นเอง ให้ผลเป็นสุขเป็นทุกข์ก็เหมือนกัน แต่มันส่อแสดงให้เห็นสภาพหรือสถานที่อันตนจะพึงได้ไปเกิด ชักจูงให้จิตเลื่อมใสพอใจ ในอันที่จะน้อมจิตให้เข้าไปยึดมั่นยิ่งขึ้น เช่น ผู้ที่ได้สร้างบุญกุศลไว้ มีการทำทานเป็นต้นดังกล่าว จะเห็นสถานที่ ที่ตนจะต้องไปเกิด หรือไปเสวยอานิสงส์นั้นอย่างน่ารื่นรมย์รโหฐาน หร้อมด้วยเครื่องบริขารที่ตนได้ทำบุญไว้ แต่มันเป็นของวิเศษยิ่งกว่าที่เราได้ทำไว้นั้นเป็นไหนๆ เมื่อเห็นเข้าแล้วใจก็ปลื้มปีติอย่างยิ่ง บางทีอาจมีผู้มาชี้ให้เห็นว่า สิ่งเหล่านั้นสถานที่นั้นเป็นอานิสงส์ของท่าน ที่ได้ทำบุญไว้แล้ว หรืออาจมีผู้คนมารับแห่แหนไปด้วยความมีเกียรติก็ได้

ส่วนคติกรรมชั่วตรงกันข้าม มันให้เกิดความทุกข์แสนสาหัสเหลือที่จะอดกลั้น นิมิตทั้งสองคือกรรมนิมิตและคตินิมิต ขณะที่มันปรากฏเกิดขึ้นให้เห็นด้วยใจนั้น ผู้ทำกรรมไว้แล้วจะระลึกถึงกรรมหนหลังที่ตนได้กระทำไว้แล้วในอดีตตลอดได้หมด ถ้าได้เห็นกรรมดีพร้อมทั้งนิมิตที่ดีเป็นพยาน ก็จะอิ่มใจเพลิดเพลินอย่างยิ่ง ถ้าได้เห็นกรรมชั่วพร้อมทั้งนิมิตที่เป็นอัปมงคล ใจก็จะหดหู่เดือดร้อนเป็นทุกข์มากแสนทวีคูณ

เรื่องที่อธิบายมาทั้งหมดนี้ สมัยครั้งพุทธกาลก็เคยได้มีมาแล้ว แม้ในปัจจุบันนี้ ก็มักจะได้ยินกันบ่อยๆ ผู้สนใจคงจะได้ทราบดีอยู่บ้างแล้วในเรื่องนี้

นิมิตทั้งสองนี้ บางทีกรรมนิมิตเกิดก่อน แล้วคตินิมิตจึงเกิดภายหลังก็มี ไม่แน่นอน ถึงนิมิตใดจะเกิดก่อนเกิดหลัง ก็จะนำทางให้เข้าถึงจุดเดียวกันนั้น

นิมิตทั้งสองนี้ เปรียบเหมือนตำรวจที่ซื่อสัตย์สุจริต และเที่ยงธรรมของยมบาล ตามสืบราชการลับทั่วทุกหนทุกแห่งตลอดเวลา ไม่ว่าใครจะทำกรรมดีกรรมชั่ว ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เขาทั้งสองจะต้องตามรู้ตามเห็นไปทั้งหมด ใครจะปกปิดอำพรางหรือแก้ตัวอย่างไรๆ ไม่ได้ทั้งนั้น และคนที่ซื่อสัตย์สุจริตเที่ยงตรง รู้ดีกว่าตำรวจทั้งนายนี้ ก็คือใจของตนเองนั้นแลเป็นคนแรก

บางคนอาจเข้าใจว่า กรรมดีและกรรมชั่วที่บุคคลได้กระทำไปแล้ว ให้ผลในปัจจุบันนี้เอง เช่น สร้างกรรมดีไว้ ย่อมมีผู้ยกย่องสรรเสริญให้เกียรติรางวัลเป็นต้น ทำกรรมชั่วไว้ได้รับโทษทรมาน เช่น ประหารชีวิตและถูกจำจองเป็นต้น ผลอนาคตไม่มี นั่นมันเป็นเรื่องของอุจเฉททิฏฐิ เห็นว่าโลกหน้าไม่มี บุญกรรมที่ทำแล้วไม่มีผล มันเป็นภัยแก่สัจจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างร้ายแรง ในทางพระพุทธศาสนาถือว่า ผู้ทำกรรมดีกรรมชั่วยังมีกิเลสอยู่ ภพชาติก็ยังมีอยู่ กิเลสนั้นแลเป็นมัคคุเทศก์นำทางให้ไปเกิดในภพชาตินั้นๆ และได้เสวยผลกรรมที่ยังเหลืออยู่ในที่นั้นๆ การได้รับผลกรรมไม่ว่าดีหรือชั่วในปัจจุบัน เป็นแต่ผลกรรมมีประมาณเล็กน้อยในปัจจุบันเท่านั้น

ผู้เจริญรูปฌาน ก็จะเพ่งเอานิมิตรรูปที่มาปรากฏเป็นกสิณอยู่ที่ใจนั้นเป็นอารมณ์ ให้นำไปเกิดในรูปภูมิ ผู้เจริญอรูปฌาน ก็จะเพ่งเอาความว่างอันเป็นอารมณ์ของฌานนั่นแลมาเป็นนิมิต เป็นอารมณ์ให้นำไปเกิดในภูมิที่มีแต่ความว่าง รูปภูมิเป็นภพที่มีรูปละเอียด ไม่ได้ใช้เซลล์หรือประสาทอย่างธรรมดาสามัญ เช่นมนุษย์ของพวกเราทั้งหลายนี้ แต่เป็นรูปของจิต ท่านผู้เข้าถึงแล้ว ย่อมทราบได้ดีในเรื่องนี้ คนธรรมดาสามัญอย่างพวกเราทั้งหลายนี้ พูดไปมากก็เลอะเลือนไปเปล่าไม่เข้าที ยิ่งอรูปฌานแล้วก็ยิ่งเป็นของเหลือวิสัยที่พวกเราจะอนุมานเอาได้ ยิ่งอนุมานก็มีแต่จะผิดหนักเข้าทุกที

สรุปแล้ว นิมิตเป็นผู้นำทาง ให้ผู้ยังมีกิเลสอยู่ไปเกิดในคตินั้นๆ ผู้เข้าถึงรูปฌานและอรูปฌานแล้ว ก็ยังตกอยู่ในคติเดียวกันนั้น บางท่านอาจเข้าใจไปว่า เวลาจวนจะตายจึงจะระลึกเอาแต่นิมิตที่ดีเพื่อให้นำทางไปสู่สุคติ ข้อนั้นอย่าพึงคิดเลยเสียเวลาเปล่า เป็นเรื่องของการแก้ตัวของผู้ประมาทแล้วต่างหาก คนเราเกิดมาแต่ละชาติมา สร้างกรรมชั่วมากกว่ากรรมดี แม้แต่ละวัน หากจะมาหักลบกันแล้ว อยู่ดีๆปกตินี่แหละ ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเลย กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ของแต่ละบุคคลนั้น จะเหลือทุจริตมากกว่าสุจริตเป็นอเนกทีเดียว แล้วเมื่อจวนจะตายยิ่งจะไม่ร้ายไปกว่านี้อีกหรือ ขนาดผู้บำเพ็ญกุศล ระลึกเอาผลอานิสงส์ของความดีงามไว้ เป็นอนุสสติตลอดกาล นอนหลับนอนฝัน ก็ปรากฏเห็นเป็นภาพนิมิตอยู่อย่างนั้น นั่นก็มิใช่จะพ้นจากทุกข์ไปได้ทีเดียว มันเป็นแต่ทางให้เข้าถึงสุคติเท่านั้น

ทางให้ถึงความดับภพดับชาติ

ภพชาติ เป็นตั้งของกองทุกข์ ทุกข์ทั้งหลาย มากองอยู่ที่ผู้ยังมีภพชาตินี้ทั้งนั้น ภพชาติจะเกิดมีขึ้นมาได้ ก็ต้องอาศัยผู้ยังมีกิเลสอันเป็นคู่กันกับนิมิต นำให้ไปเกิดในที่นั้นๆ ผู้ต้องการอยากจะให้ดับภพดับชาติ ก็ต้องพยายามอย่าให้นิมิตทั้งสองนั้นเกิดขึ้นได้ในเมื่อจวนจะแตกดับ นิมิตทั้งสองเราจะแต่งเอาตามปรารถนาไม่ได้ แต่มันเป็นไปตามบุญกรรมกิเลสของแต่ละบุคคล ที่ได้สร้างเอาไว้ดังกล่าวแล้ว

๑. เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเราจะทำอย่างไร จึงจะไม่ให้นิมิตเกิดขึ้นได้ในเมื่อจวนจะแตกดับ

ตอบ เมื่อเราเกิดมาจมอยู่ในกองแห่งทุกข์ทั้งหลายในป่าดงของกิเลสอันน่ากลัว แล้วเห็นผลของกรรมชั่วอันน่าสยดสยองอย่างยิ่ง จึงพอกันที แล้วบำเพ็ญแต่กรรมดีที่ให้ผลเป็นความสุข จนอิ่มพอในความสุขที่กรรมดีมอบให้นั้น แล้วละความสุขนั้นเสีย ไม่หลงมัวเมาเอามาเป็นของตนของตัวอย่างจริงจัง เรียกว่าละทั้งดีและชั่ว เพราะอิ่มแก่ความต้องการทั้งหมดแล้ว นิมิตทั้งสองนั้นจึงจะไม่เกิด

๒. หากจะมีคำถามว่า เมื่อยังไม่อิ่มในกรรมทั้งสองนั้นจะทำอย่างไร

ตอบ ก็ต้องสร้างกรรมดีต่อไป แต่อย่าไปสร้างกรรมชั่วเพิ่มขึ้นมาอีก เพราะกรรมชั่วเราได้สร้างมามากแล้ว จนมีผลเหลือที่จะเก็บและจำหน่ายออกได้แล้ว

๓. เมื่อชีวิตยังมีอยู่ กรรมดีกรรมชั่วก็ไม่ทำแล้ว แล้วจะอยู่และทำอะไรอีก

ตอบ เมื่อชีวิตยังมีอยู่ การเคลื่อนไหวก็ต้องมี การเคลื่อนไหวอันได้แก่กรรม แต่ก็อย่าให้มีกรรมชั่ว จงให้มีแต่กรรมดี เพราะกรรมดีคนดีทำง่าย แต่คนชั่วทำได้ยาก คนดีทำกรรมดี ไม่ปรารถนาผลตอบแทน ถึงแม้จะทำกรรมดีอยู่ก็ไม่ชื่อว่าทำกรรม เรียกว่ากิริยา ฉะนั้นพระพุทธเจ้าก่อนจะดับภพดับชาติได้ คือถึงพระสัพพัญญุตญาณ ท่านได้สร้างบารมีมาแล้วเป็นอเนกชาติ มีทานบารมีเป็นต้น ผลสุดท้าย เมื่อบารมีของท่านอิ่มพอแล้ว จึงละโลกนี้ที่มีกรรมเป็นมูลฐานดับแล้ว ไม่มีเชื้อเหลืออยู่อีกต่อไป

บทส่งท้าย

มนุษย์คนเรา ก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ในจำพวกของสัตว์ทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้ พร้อมกันนั้นสัตว์ทุกๆประเภทต่างก็เกลียดทุกข์ ดิ้นรนเพื่อแสวงหาความสุขตามปรารถนาของตนๆ แต่ความสุขที่เขาเหล่านั้นต้องการ อาจไม่เหมือนกัน เพราะความแตกต่างในฐานะชั้นภูมิของเขาเหล่านั้น ไม่เหมือนกัน ความหวังและความปรารถนาที่ว่านั่นแล มันเป็นเครื่องดึงดูดให้เขาเหล่านั้น รักโลกนี้อันเต็มไปแล้วด้วยกองทุกข์ ให้เขาลืมเสียจากทุกข์เหล่านั้น เป็นพักๆไป แล้วเขาก็เห็นว่าโลกนี้เป็นสุข

ความเสมอภาคของสัตว์เหล่านั้น นอกจากจะมีความแก่ ความเจ็บ ความตายแล้ว ยังมีทุกข์มีสุขประจำ มีการหลับการนอน การร้องไห้ และหัวเราะเพื่อแก้กลุ้ม ก็มีแก่สัตว์ทั่วไป ข้อสำคัญคือ การสืบพันธุ์เพื่อเป็นมรดกตกทอดมาให้แก่คนอื่นสัตว์อื่น เพื่อสร้างทุกข์ของโลกนี้ให้เจริญสืบไป หรืออาจเพื่อเป็นรังเรือนทุกข์ในอนาคตแก่ตนเองอีกด้วยก็ได้

สัตว์ทั้งหลาย เกิดมาแล้ว ล้วนแล้วแต่เล็งผิดเป้าหมายของตนทั้งนั้น โดยเฉพาะคนเราแล้ว พลาดมากเป็นพิเศษ คือมีความต้องการไม่แน่นอน ปรารถนาสิ่งใดเมื่อได้สิ่งนั้นมาตามปรารถนาแล้ว แทนที่จะอิ่มจะพอแก่ความต้องการแล้ว แต่ก็ยังไม่พออีก สิ่งที่ได้มากลับเป็นของที่ไม่จุใจไปอีกแล้ว มันหิวไม่อิ่มอยู่ตลอดกาลอย่างนี้ ฉะนั้นคนเราจึงยุ่งและทุกข์มากกว่าสัตว์เหล่าอื่นเป็นไหนๆ ถึงแม้จะมีข้อกฏกติกาและระเบียบบังคับอย่างเฉียบขาด แต่ก็ยากที่จะเอาให้อยู่ได้ พร้อมกันนั้นสิ่งที่ผู้ประมาทแล้ว ไม่ค่อยคำนึงถึงเลย คือความแก่ และความตาย ค่อยด้อมๆตามหลังมาอย่างเงียบๆ หากมันได้โอกาสเมื่อไรแล้ว มันจะตะครุบฟัดเหวี่ยงเอาอย่างไม่มีปรานีเลยทีเดียว

มนุษย์ เป็นสัตว์ที่ฉลาดเฉียบแหลมกว่าเพื่อนมาก แต่เป็นที่น่าเสียดาย แทนที่จะนำเอาความฉลาดเฉียบแหลมนั้น มาใช้สร้างความสุขความเจริญให้แก่ตนและคนอื่น กลับมาสร้างความทุกข์เดือดร้อน ให้แก่ตนและคนอื่นสัตว์อื่นไปเสียฉิบ สู้ความแหลมของหนามทุเรียนไม่ได้ ซึ่งมันมีไว้เพื่อป้องกันตัวเท่านั้น แต่ใครอย่าไปแตะต้องมันนะ แล้วก็อย่าไปใกล้ต้นมันเวลามันหล่น

คนเรา เป็นสัตว์ร้ายกว่าเขาทั้งหมด เกิดมาเพื่อทำลายโลกแท้ เริ่มต้นแต่สืบพันธุ์มนุษย์มาเพื่อให้มาตาย เมื่อเกิดมามากๆตามไม่ทัน ก็คิดทำลายล้างผลาญกัน เมื่อใช้อาวุธที่มีประจำตัวของแต่ละบุคคลทำลายกันไม่ทันกับความต้องการ ก็คิดสร้างอาวุธที่ร้ายแรงประหารกันตามทีละเป็นร้อยๆพันๆ ใครว่ามนุษย์เกิดมาสร้างโลกให้เจริญนั้น ไม่จริง ความจริงแล้ว จะสร้างความเจริญให้เฉพาะแก่ตัวเองและหมู่คณะในวงแคบๆของตนเอง หรือเฉพาะสถานที่ที่ตนต้องการเท่านั้น แต่มันไปทำลายบุคคลอื่น และสถานที่อื่นให้เดือดร้อนราบเรียบไปหมด สมัยนี้ ผู้ที่เกิดมาหาความสุขเพื่อตนและหมู่คณะของตนพอแล้ว คิดอิจฉาริษยาคนอื่นไม่ยักให้เขามาเกิดอีกด้วย

คนผู้เห็นแก่ตัว มองพุทธศาสนาในแง่ร้ายว่า สอนให้คนอยู่กับที่ไม่ก้าวหน้า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ให้กำเนิดศาสนา พระองค์ทรงพิจารณาเห็นความเสื่อมโทรมของโลก โดยพระปัญญาอันชัดแจ้งแล้ว จึงทรงสละความสุขของพระองค์ทุกๆวิถีทางเพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลก ทรงอาศัยพระมหากรุณาอันยิ่งใหญ่ แล้วทรงตั้งพระหฤทัยอนุเคราะห์ แนะนำพร่ำสอนเวไนยสัตว์ ให้ปฏิบัติเป็นผู้เสียสละตามพระบาทยุคล

ผู้ไม่หลงผิด ปฏิบัติติดตามคำสอนของพระองค์แล้ว ย่อมได้รับความสุขความเจริญทั้งแก่ตนและบุคคลอื่น ได้ชื่อว่าพระองค์เกิดมาเพื่อทำโลกนี้ให้เจริญด้วยสติ อันเป็นที่ปรารถนาของเหล่าประชาสัตว์โดยแท้จริง

[จบ เรื่องของความเกิด-ดับ: หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี]